บัญชาชีวิต
- Details
- Written by Super User
- Category: บัญชาชีวิต
- Published: 02 October 2023
- Hits: 385
วิจิตรศาสตราจารย์คารวะระลึก
ProfessorVijitrWithHomage
(bunchar.com บัญชาชีวิต 20231001_1)
เรียกได้ว่าในวงการการศึกษาและพัฒนาบ้านเมืองนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน
น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักนาม #วิจิตร_ศรีสะอ้าน ท่านนี้ รวมทั้งผมด้วย
ด้วยตลอดที่เรียนมัธยมถึงมหาวิทยาลัย ชื่อนี้ก็เป็นที่ปรากฏมากแล้ว
ในหลายฐานะแห่งวงการการอุดมศึกษาที่เรียกว่าทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐสมัยนั้น
สำหรับผมนั้น ได้พบตัวและรู้จักเป็นการเฉพาะก็เมื่อรัฐบาลนายก #อานันท์_ปันยารชุน
ตั้ง ๒ กรรมการระดับชาติ เพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติสองระดับ ราว ๆ ปี ๒๕๓๓ ???
ที่มีท่าน รมว. #สายสุรี_จุติกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการสำนักนายก ดูแล สยช. ถ้าจำไม่ผิด
โดยมีผมเข้าไปเป็นคณะที่ว่าด้วยเยาวชน มี อ.วิจิตรเป็นประธาน
ขณะนั้นพอดีที่ทางนครก็กำลังขับเคลื่อนรณรงค์เพื่อให้มีมหาวิทยาลัยในจังหวัดนคร
และ อ.วิจิตรเป็นปลัดทบวงฯ จนลงเอยด้วยการแยกโครงการจัดตั้ง ม.ในนคร
จาก มอ. ให้กลับมาอยู่ในการดูแลของทบวง โดยให้ อ.วิจิตร เป็นหลักจัดตั้ง
ซึ่งขณะนั้นท่านก็กำลังตั้ง มทส.เป็นรูปเป็นร่าง
มีท่าน อ.วันชัย ศิริชนะ เป็นมือสำคัญ
วันหนึ่งที่ท่านมาประชุมชี้แจงชาวนครที่ห้องสุพรรณหงส์ไทยโฮเต็ล
ผมก็เลยไปร่วมต้อนรับและฟังแนวทาง ด้วยเห็นว่าชาวนครต้องการมหาวิทยาลัยกันมาก
และแนวทางที่ทบวงมหาวิทยาลัยวางไว้ก็น่าสนใจไม่น้อย
ก็เลยเอ่ยปากว่าหากผมจะมาช่วยด้วยให้สำเร็จตามที่ชาวนครต้องการ จะดี ? ได้ ? ไหม ?
ปีนั้น พ.ศ.๒๕๓๕ มีความปั่นป่วนทางการเมืองมาก
#สุจินดา_คราประยูร เพิ่งก่อการ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทนไม่ได้
ไปร่วมกันชุมนุมต่อต้านที่สนามหลวงเรื่อย ๆ
ประกอบกับทำงานเทศบาลนครมาครบ ๕ ปี แล้วเห็นว่าไม่ใช่แนวของตัวเองแน่แล้ว
กำลังอยากไปเป็นครู ยื่นสมัครไปอยู่ วค.นครศรี ที่ทางนั้นก็ข้องใจกันมาก
พิจารณากันอยู่นาน ข่าวว่าวงการครูก็ข้องใจว่าหมอนี้แกคิดอะไร รี ๆ รอ ๆ อยู่
ตอนนั้นพลิกผันมาก เลขานายกสุจินดา จากสภาพัฒน์ นาม #โฆษิต_ปั้นเปี่ยมรัฐ
ให้คนประสานเชิญผมเป็นที่ปรึกษานายก ฯ ร่วมกับหลายปัญชาชนที่เขารับกัน
แต่ผมยืนยันไม่รับ เพราะนอกจากรับนายกฯ ไม่ได้แล้ว
ยังบอกไปด้วยว่าผมนี้กำลังร่วมชุมนุมขับไล่อยู่ทั้งที่นครและสนามหลวง
พอดีจังหวะหนึ่ง สุจินดาประกาศว่า " ... ข้าราชการทุกคนต้องเชื่อฟังผม ... "
ไอ้เรานี้กำลังเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ก็เลยยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการเลย
แต่กระบวนการยังไม่ทันถึงไหน พอดีสุจินดาต้องออกก่อน
การลาออกของผมก็เลยระงับยับยั้งไว้ ด้วยเหตุที่ขอลาออกคือ
" ... รับนายกไม่ได้ ... " หมดไปเสียแล้ว
ก็เหลือแต่กระบวนการขอย้ายโอนจาก อกท. ไป กค. ที่ทราบว่ายังเดินอยู่
จนท่านอาจารย์วิจิตรทราบข่าว รีบโทรไปหาท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย ในปี ๒๕๓๕ นั้น
ผมนึกชื่อไม่ออก ดูเหมือนว่าจะชื่อ #อนันต์_อนันตกูล ไหม ?
ว่าขอดึงเรื่องออกจากที่ประชุมในวันนั้น ที่กำลังเอาเข้าที่ประชุม
ว่าตกลง " ... หมอบัญชาไม่โอนไป วค.นครแล้ว แต่จะลาออกเลย
เพื่อมาร่วมสร้างมหาวิทยาลัยใหม่ในเมืองนคร ในกำกับของทบวงมหาวิทยาลัย ... "
โดยเมื่อแรกมานั้น ผมไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก
ด้วยต้องการมาร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยในจังหวัดนครให้สำเร็จเสียที
ท่านบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยแนวใหม่ในกำกับ
ต้องลาออกจากราชการ ก็ลาออก ... งดบำนาญ
เงินเดือนต้องตามทางทบวงกำหนด ... ก็แล้วแต่จะกำหนดครับ
เพิ่มจากราชการที่ได้รับไม่มากอะไร ต่างจากที่มาตั้งกันตอนหลังมากมาย
ที่ได้ชัด ๆ ก็คือเป็น #พนักงานคนแรกของมหาวิทยาลัยในนคร
กับสารพัดงานตลอดถึงการเรียนรู้สารพัดครับ
หลังจากนั้นท่านก็ทยอยมอบหมายหน้าที่ทำแทบทุกอย่าง
เริ่มที่ ผู้ช่วยอธิการบดี แล้วก็เป็นรองอธิการบดี ดูแลแทบทุกฝ่ายและทุกอย่าง
จากฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายกิจการนักศึกษา บางจังหวะต้องดูฝ่ายวิชาการด้วย ฯลฯ
โดยผมบอกว่าเรื่องบริหารกับวิชาการนั้นไม่ถนัด และไม่สามารถทำให้ดีได้
แต่บางจังหวะก็ต้องรับภาระเรื่อยมา ฯลฯ
บางอย่างก็พอทำได้ หลายอย่างได้พยายามทำ
จนเปิดเป็นมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์รับนักศึกษาได้
หลายคนบอกว่าผมนี้ได้รับความไว้วางใจมากจากท่านอาจารย์
หลายคนบอกว่าท่านอาจารย์รักและไว้วางใจผมมาก
ขณะที่ผมนั้นเป็นห่วงวลัยลักษณ์มากในหลายเหตุ
หนึ่งคือหาอาจาย์ยากมาก ขาดมือดีมาร่วมด้วยช่วยพัฒนา
ได้พยายามเรียนท่านในหลายโอกาสว่าขอท่านอาจารย์มาให้เวลากับวลัยลักษณ์ให้มาก ๆ
เพราะลำพังผมกับคณะที่ท่านมอบหมายให้ทำกันนั้น ไม่น่าจะทำให้ดีได้ดังคาดหวัง
โดยได้ฝากหลายคนคนไปเรียนท่านด้วย
ยิ่งขณะนั้นเริ่มมีบางคณาจารย์ก็เห็นเป็นเช่นนั้น มีความพยายามเสนอแนะและ ฯลฯ
จนสุดท้าย ผมได้ชวนท่านรองฯ อีกคนหนึ่ง ขอเข้าพบนายกสภาฯ
เพื่อรายงานสภาพการณ์ ปัญหา และขอให้ท่านช่วยคลี่คลาย
" ... เท่าที่ผมทำงานกับทบวงมาอย่างยาวนาน
ไม่เคยพบใครที่กล้าหาญ และแน่วแน่เอาจริงอย่างคุณหมอ ... "
คือคำเอ่ยปรารภของท่านนายกฯ ที่ผ่านงานทบวงมาอย่างยาวนาน
ทั้งอธิการบดี รัฐมนตรีทบวง และนายกสภาของหลายมหาวิทยาลัย
สุดท้ายความพยายามทั้งปวงของผม
ถูกบางฝ่ายขยายความจนกลายเป็นว่าผมมีเจตนาไม่ดีต่อท่านอาจารย์
จนเกิดการปั่นป่วนสารพัด และดูเหมือนว่าท่านก็เข้าใจต่อผมไปในทางนั้น
มีการขยายความออกไปในวงกว้าง
ขนาดที่ในเมืองนครก็มีคนเอาไปเคลื่อนไหว ซึ่งผมเห็นว่าเลอะเทอะที่สุด
เกินที่จะร่วมการอะไรได้อีกต่อไป ในแวดวงและกรณีเช่นนั้น ฯลฯ
ผมจึงขอวางมือจากทุกหน้าที่งานบริหารในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ที่รักไม่น้อย
มาทำแต่หน้าที่อาจารย์สอน โดยยืนยันว่าจะสอนจนศิษย์รุ่นแรกจบก็จะออก
ซึ่งพอดีครบ ๑๐ ปีที่ทำงานที่วลัยลักษณ์
โดยหลังจากนั้น ถูกบางอธิการขอให้ช่วยรับภาระบริหารบ้าง อย่างขัดไม่ได้
จนครบ ๑๐ ปี ก็ลาออกสิ้นเชิง ในปี ๒๕๔๕
และขอไม่เข้าไปรับภาระหรือยุ่งเกี่ยวหน้าที่ใด ๆ อีก
แม้ว่าจะมีคำเชื้อเชิญมาไม่น้อย แม้แต่การสอนก็ไม่รับ
มีงานหนึ่งที่ถูกขอร้องและรับไว้ คือ กรรมการอาศรมวัฒนธรรม
ที่ท่าน ผอ. ขอมากและย้ำว่าจะไม่เกี่ยวกับอะไรอื่นเลย
แต่ผมก็เป็นอยู่ได้ระยะหนึ่งก็ขอสิ้นสภาพด้วยไม่เห็นว่าจะช่วยอะไรได้
กับมีช่วงหนึ่งที่อธิการบดีท่านหนึ่ง โทรมาขอร้องว่ากรรมการสภา
ขอให้ท่านเชิญผมเข้าไปเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยให้จงได้
ก็รับไว้สมัยเดียวนั้น จากนั้นก็เลิกเลย
เพิ่งล่าสุดท่านอธิการบดีคนปัจจุบันโทรบอกว่า
ขอช่วยเป็นกรรมการสรรหากรรมการสภาชุดใหม่ เมื่อไม่นานมานี้
โดยผมขัดไม่ได้ ก็ช่วยทำหน้าที่ไปแบบมีความเห็นต่างเป็นระยะ ๆ
แบบขอบันทึกเป็นหมายเหตุไว้
หลังจากนั้น (๒๕๔๕) เมื่อทราบว่าท่านน่าจะไม่ค่อยสบายใจต่อผม
ประกอบกับออกมาจากแวดวงจนหมดสิ้นแล้ว
ผมจึงได้พบท่านอาจารย์วิจิตรน้อยมาก
จดจำเสมอมาว่าท่านเป็นหนึ่งในเอตทัคคะเรื่องการดำเนินการประชุม
เรื่องการสื่อสารสร้างความเห็นร่วม เรื่องการพัฒนาและบริหารการศึกษา
ซึ่งผมเองนี้ก็ได้เรียนรู้และซึมซับมามากตลอดระยะ ๑๐ ปีที่ทำงานกับท่าน
ส่วนที่หลายคนทักท้วงถึงการทำงานกับท่านอาจารย์
ที่หลายคนเห็นต่างในหลายเรื่อง ผมก็เห็นว่าเป็นคนละเรื่อง ฯลฯ
โดยเรื่องที่ผมทำได้ คือบริการจัดการคลี่คลายเรื่องที่ดินในการก่อสร้าง
การบริหารการก่อสร้างให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะมีสติปัญญาทำได้ ไม่มีปัญหาสารพัด
และการก่อรูปแนวทางการพัฒนานักศึกษา กับการบริการสังคม ฯลฯ
เนื่องจากผมเพียงต้องการช่วยสร้างมหาวิทยาลัยในจังหวัดนครให้สำเร็จ
สมกับที่ชาวนครต้องการกันมาก
แม้จะยากที่จะทำให้สำเร็จได้ว่าดีและเป็นมหาวิทยาลัยในฝันของผมเอง
ด้วยผมเองนั้นทำได้เพียงเท่านี้
ผมพบท่านอาจารย์วิจิตรครั้งสุดท้าย เมื่อปีที่ทางมหาวิทยาลัยมีมติ
มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ศิลปศาสตร์
น่าจะไทยคดีศึกษาบูรณาการ เมื่อหลายปีก่อน
ท่านก็ยังเป็นที่เคารพรักต่อผมและทุกคนดังเดิมเสมอมา
เมื่อเดือนที่แล้ว ที่ท่านนายกฯ อานันท์
ไปเปิดนิทรรศการ ๕๐ ปี ๑๔ ตุลา ที่ มศว.ประสานมิตร
มีกำหนดว่าท่านอาจารย์วิจิตรจะมาร่วมด้วย
แต่ท่านก็ไม่ได้มา ผมก็เลยไม่ได้พบท่านเป็นครั้งท้าย
ยังจำได้ที่ท่านบอกว่า อันที่จริงแล้วงานค่ายอาสาพัฒนาชนบทนั้น
ท่านเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มนำมาสนับสนุนส่งเสริมอย่างจริงจังในวงการอุดมศึกษาไทย
ตอนนั้นท่านจบกลับมาจากอเมริกา เป็นเลขาธิการจุฬา
ดูเหมือนสมัยมี อ. #เกษม_สุวรรณกุล เป็นอธิการบดี
ซึ่งต่อมาก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้นักศึกษาออกสู่ชนบทและสังคมมาก ๆ ขึ้น
จนเกิดเป็นอีกขบวนการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงสังคมไทยมาถึงทุกวันนี้
เมื่อวานนี้ที่ท่านอาจารย์ละโลกนี้แล้ว ทางเมืองนครกำลังยุ่งกันมากเรื่องรับตายายเดือนสิบ
และผมเองก็ยุ่งมาหลายเรื่อง
เช้านี้จึงขอน้อมคารวะระลึกท่านอาจารย์มาเป็นลำดับต้น
พร้อมกับขออภัยและเชื่อว่าท่านอาจารย์ได้อดโทษผมที่ไม่ได้ดังใจหมดแล้ว
ส่วนผมนั้นซึมซับเรียนรู้มากมายและเคารพนับถืออาจารย์เสมอมาขอรับผม
๑ ตุลา ๖๖ ๐๙๒๓ น.
บ้านบวรรัตน์ท่าวังเมืองนคร