logo_new.jpg

วิจิตรศาสตราจารย์คารวะระลึก

ProfessorVijitrWithHomage

(bunchar.com บัญชาชีวิต 20231001_1)

เรียกได้ว่าในวงการการศึกษาและพัฒนาบ้านเมืองนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน

น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักนาม #วิจิตร_ศรีสะอ้าน ท่านนี้ รวมทั้งผมด้วย

ด้วยตลอดที่เรียนมัธยมถึงมหาวิทยาลัย ชื่อนี้ก็เป็นที่ปรากฏมากแล้ว

ในหลายฐานะแห่งวงการการอุดมศึกษาที่เรียกว่าทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐสมัยนั้น

สำหรับผมนั้น ได้พบตัวและรู้จักเป็นการเฉพาะก็เมื่อรัฐบาลนายก #อานันท์_ปันยารชุน

ตั้ง ๒ กรรมการระดับชาติ เพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติสองระดับ ราว ๆ ปี ๒๕๓๓ ???

ที่มีท่าน รมว. #สายสุรี_จุติกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการสำนักนายก ดูแล สยช. ถ้าจำไม่ผิด

โดยมีผมเข้าไปเป็นคณะที่ว่าด้วยเยาวชน มี อ.วิจิตรเป็นประธาน

ขณะนั้นพอดีที่ทางนครก็กำลังขับเคลื่อนรณรงค์เพื่อให้มีมหาวิทยาลัยในจังหวัดนคร

และ อ.วิจิตรเป็นปลัดทบวงฯ จนลงเอยด้วยการแยกโครงการจัดตั้ง ม.ในนคร

จาก มอ. ให้กลับมาอยู่ในการดูแลของทบวง โดยให้ อ.วิจิตร เป็นหลักจัดตั้ง

ซึ่งขณะนั้นท่านก็กำลังตั้ง มทส.เป็นรูปเป็นร่าง 

มีท่าน อ.วันชัย ศิริชนะ เป็นมือสำคัญ

วันหนึ่งที่ท่านมาประชุมชี้แจงชาวนครที่ห้องสุพรรณหงส์ไทยโฮเต็ล 

ผมก็เลยไปร่วมต้อนรับและฟังแนวทาง ด้วยเห็นว่าชาวนครต้องการมหาวิทยาลัยกันมาก

และแนวทางที่ทบวงมหาวิทยาลัยวางไว้ก็น่าสนใจไม่น้อย

ก็เลยเอ่ยปากว่าหากผมจะมาช่วยด้วยให้สำเร็จตามที่ชาวนครต้องการ จะดี ? ได้ ? ไหม ?

ปีนั้น พ.ศ.๒๕๓๕ มีความปั่นป่วนทางการเมืองมาก

#สุจินดา_คราประยูร เพิ่งก่อการ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทนไม่ได้ 

ไปร่วมกันชุมนุมต่อต้านที่สนามหลวงเรื่อย ๆ

ประกอบกับทำงานเทศบาลนครมาครบ ๕ ปี แล้วเห็นว่าไม่ใช่แนวของตัวเองแน่แล้ว

กำลังอยากไปเป็นครู ยื่นสมัครไปอยู่ วค.นครศรี ที่ทางนั้นก็ข้องใจกันมาก

พิจารณากันอยู่นาน ข่าวว่าวงการครูก็ข้องใจว่าหมอนี้แกคิดอะไร รี ๆ รอ ๆ อยู่

ตอนนั้นพลิกผันมาก เลขานายกสุจินดา จากสภาพัฒน์ นาม #โฆษิต_ปั้นเปี่ยมรัฐ

ให้คนประสานเชิญผมเป็นที่ปรึกษานายก ฯ ร่วมกับหลายปัญชาชนที่เขารับกัน

แต่ผมยืนยันไม่รับ เพราะนอกจากรับนายกฯ ไม่ได้แล้ว 

ยังบอกไปด้วยว่าผมนี้กำลังร่วมชุมนุมขับไล่อยู่ทั้งที่นครและสนามหลวง

พอดีจังหวะหนึ่ง สุจินดาประกาศว่า " ... ข้าราชการทุกคนต้องเชื่อฟังผม ... "

ไอ้เรานี้กำลังเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ก็เลยยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการเลย

แต่กระบวนการยังไม่ทันถึงไหน พอดีสุจินดาต้องออกก่อน 

การลาออกของผมก็เลยระงับยับยั้งไว้ ด้วยเหตุที่ขอลาออกคือ

" ... รับนายกไม่ได้ ... " หมดไปเสียแล้ว

ก็เหลือแต่กระบวนการขอย้ายโอนจาก อกท. ไป กค. ที่ทราบว่ายังเดินอยู่

จนท่านอาจารย์วิจิตรทราบข่าว รีบโทรไปหาท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย ในปี ๒๕๓๕ นั้น 

ผมนึกชื่อไม่ออก ดูเหมือนว่าจะชื่อ #อนันต์_อนันตกูล ไหม ?

ว่าขอดึงเรื่องออกจากที่ประชุมในวันนั้น ที่กำลังเอาเข้าที่ประชุม

ว่าตกลง " ... หมอบัญชาไม่โอนไป วค.นครแล้ว แต่จะลาออกเลย 

เพื่อมาร่วมสร้างมหาวิทยาลัยใหม่ในเมืองนคร ในกำกับของทบวงมหาวิทยาลัย ... "

โดยเมื่อแรกมานั้น ผมไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก 

ด้วยต้องการมาร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยในจังหวัดนครให้สำเร็จเสียที

ท่านบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยแนวใหม่ในกำกับ 

ต้องลาออกจากราชการ ก็ลาออก ... งดบำนาญ

เงินเดือนต้องตามทางทบวงกำหนด ... ก็แล้วแต่จะกำหนดครับ 

เพิ่มจากราชการที่ได้รับไม่มากอะไร ต่างจากที่มาตั้งกันตอนหลังมากมาย

ที่ได้ชัด ๆ ก็คือเป็น #พนักงานคนแรกของมหาวิทยาลัยในนคร 

กับสารพัดงานตลอดถึงการเรียนรู้สารพัดครับ

หลังจากนั้นท่านก็ทยอยมอบหมายหน้าที่ทำแทบทุกอย่าง

เริ่มที่ ผู้ช่วยอธิการบดี แล้วก็เป็นรองอธิการบดี ดูแลแทบทุกฝ่ายและทุกอย่าง

จากฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายกิจการนักศึกษา บางจังหวะต้องดูฝ่ายวิชาการด้วย ฯลฯ

โดยผมบอกว่าเรื่องบริหารกับวิชาการนั้นไม่ถนัด และไม่สามารถทำให้ดีได้

แต่บางจังหวะก็ต้องรับภาระเรื่อยมา ฯลฯ

บางอย่างก็พอทำได้ หลายอย่างได้พยายามทำ

จนเปิดเป็นมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์รับนักศึกษาได้

หลายคนบอกว่าผมนี้ได้รับความไว้วางใจมากจากท่านอาจารย์

หลายคนบอกว่าท่านอาจารย์รักและไว้วางใจผมมาก

ขณะที่ผมนั้นเป็นห่วงวลัยลักษณ์มากในหลายเหตุ

หนึ่งคือหาอาจาย์ยากมาก ขาดมือดีมาร่วมด้วยช่วยพัฒนา

ได้พยายามเรียนท่านในหลายโอกาสว่าขอท่านอาจารย์มาให้เวลากับวลัยลักษณ์ให้มาก ๆ

เพราะลำพังผมกับคณะที่ท่านมอบหมายให้ทำกันนั้น ไม่น่าจะทำให้ดีได้ดังคาดหวัง

โดยได้ฝากหลายคนคนไปเรียนท่านด้วย

ยิ่งขณะนั้นเริ่มมีบางคณาจารย์ก็เห็นเป็นเช่นนั้น มีความพยายามเสนอแนะและ ฯลฯ

จนสุดท้าย ผมได้ชวนท่านรองฯ อีกคนหนึ่ง ขอเข้าพบนายกสภาฯ 

เพื่อรายงานสภาพการณ์ ปัญหา และขอให้ท่านช่วยคลี่คลาย

" ... เท่าที่ผมทำงานกับทบวงมาอย่างยาวนาน 

  ไม่เคยพบใครที่กล้าหาญ และแน่วแน่เอาจริงอย่างคุณหมอ ... "

คือคำเอ่ยปรารภของท่านนายกฯ ที่ผ่านงานทบวงมาอย่างยาวนาน

ทั้งอธิการบดี รัฐมนตรีทบวง และนายกสภาของหลายมหาวิทยาลัย

สุดท้ายความพยายามทั้งปวงของผม 

ถูกบางฝ่ายขยายความจนกลายเป็นว่าผมมีเจตนาไม่ดีต่อท่านอาจารย์

จนเกิดการปั่นป่วนสารพัด และดูเหมือนว่าท่านก็เข้าใจต่อผมไปในทางนั้น

มีการขยายความออกไปในวงกว้าง 

ขนาดที่ในเมืองนครก็มีคนเอาไปเคลื่อนไหว ซึ่งผมเห็นว่าเลอะเทอะที่สุด

เกินที่จะร่วมการอะไรได้อีกต่อไป ในแวดวงและกรณีเช่นนั้น ฯลฯ

ผมจึงขอวางมือจากทุกหน้าที่งานบริหารในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ที่รักไม่น้อย

มาทำแต่หน้าที่อาจารย์สอน โดยยืนยันว่าจะสอนจนศิษย์รุ่นแรกจบก็จะออก

ซึ่งพอดีครบ ๑๐ ปีที่ทำงานที่วลัยลักษณ์

โดยหลังจากนั้น ถูกบางอธิการขอให้ช่วยรับภาระบริหารบ้าง อย่างขัดไม่ได้

จนครบ ๑๐ ปี ก็ลาออกสิ้นเชิง ในปี ๒๕๔๕

และขอไม่เข้าไปรับภาระหรือยุ่งเกี่ยวหน้าที่ใด ๆ อีก 

แม้ว่าจะมีคำเชื้อเชิญมาไม่น้อย แม้แต่การสอนก็ไม่รับ

มีงานหนึ่งที่ถูกขอร้องและรับไว้ คือ กรรมการอาศรมวัฒนธรรม 

ที่ท่าน ผอ. ขอมากและย้ำว่าจะไม่เกี่ยวกับอะไรอื่นเลย

แต่ผมก็เป็นอยู่ได้ระยะหนึ่งก็ขอสิ้นสภาพด้วยไม่เห็นว่าจะช่วยอะไรได้

กับมีช่วงหนึ่งที่อธิการบดีท่านหนึ่ง โทรมาขอร้องว่ากรรมการสภา

ขอให้ท่านเชิญผมเข้าไปเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยให้จงได้

ก็รับไว้สมัยเดียวนั้น จากนั้นก็เลิกเลย

เพิ่งล่าสุดท่านอธิการบดีคนปัจจุบันโทรบอกว่า 

ขอช่วยเป็นกรรมการสรรหากรรมการสภาชุดใหม่ เมื่อไม่นานมานี้

โดยผมขัดไม่ได้ ก็ช่วยทำหน้าที่ไปแบบมีความเห็นต่างเป็นระยะ ๆ 

แบบขอบันทึกเป็นหมายเหตุไว้

หลังจากนั้น (๒๕๔๕) เมื่อทราบว่าท่านน่าจะไม่ค่อยสบายใจต่อผม

ประกอบกับออกมาจากแวดวงจนหมดสิ้นแล้ว 

ผมจึงได้พบท่านอาจารย์วิจิตรน้อยมาก

จดจำเสมอมาว่าท่านเป็นหนึ่งในเอตทัคคะเรื่องการดำเนินการประชุม

เรื่องการสื่อสารสร้างความเห็นร่วม เรื่องการพัฒนาและบริหารการศึกษา

ซึ่งผมเองนี้ก็ได้เรียนรู้และซึมซับมามากตลอดระยะ ๑๐ ปีที่ทำงานกับท่าน

ส่วนที่หลายคนทักท้วงถึงการทำงานกับท่านอาจารย์

ที่หลายคนเห็นต่างในหลายเรื่อง ผมก็เห็นว่าเป็นคนละเรื่อง ฯลฯ

โดยเรื่องที่ผมทำได้ คือบริการจัดการคลี่คลายเรื่องที่ดินในการก่อสร้าง

การบริหารการก่อสร้างให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะมีสติปัญญาทำได้ ไม่มีปัญหาสารพัด

และการก่อรูปแนวทางการพัฒนานักศึกษา กับการบริการสังคม ฯลฯ

เนื่องจากผมเพียงต้องการช่วยสร้างมหาวิทยาลัยในจังหวัดนครให้สำเร็จ

สมกับที่ชาวนครต้องการกันมาก

แม้จะยากที่จะทำให้สำเร็จได้ว่าดีและเป็นมหาวิทยาลัยในฝันของผมเอง

ด้วยผมเองนั้นทำได้เพียงเท่านี้

ผมพบท่านอาจารย์วิจิตรครั้งสุดท้าย เมื่อปีที่ทางมหาวิทยาลัยมีมติ

มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ศิลปศาสตร์ 

น่าจะไทยคดีศึกษาบูรณาการ เมื่อหลายปีก่อน

ท่านก็ยังเป็นที่เคารพรักต่อผมและทุกคนดังเดิมเสมอมา

เมื่อเดือนที่แล้ว ที่ท่านนายกฯ อานันท์ 

ไปเปิดนิทรรศการ ๕๐ ปี ๑๔ ตุลา ที่ มศว.ประสานมิตร 

มีกำหนดว่าท่านอาจารย์วิจิตรจะมาร่วมด้วย

แต่ท่านก็ไม่ได้มา ผมก็เลยไม่ได้พบท่านเป็นครั้งท้าย

ยังจำได้ที่ท่านบอกว่า อันที่จริงแล้วงานค่ายอาสาพัฒนาชนบทนั้น

ท่านเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มนำมาสนับสนุนส่งเสริมอย่างจริงจังในวงการอุดมศึกษาไทย

ตอนนั้นท่านจบกลับมาจากอเมริกา เป็นเลขาธิการจุฬา 

ดูเหมือนสมัยมี อ. #เกษม_สุวรรณกุล เป็นอธิการบดี

ซึ่งต่อมาก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้นักศึกษาออกสู่ชนบทและสังคมมาก ๆ ขึ้น

จนเกิดเป็นอีกขบวนการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงสังคมไทยมาถึงทุกวันนี้

เมื่อวานนี้ที่ท่านอาจารย์ละโลกนี้แล้ว ทางเมืองนครกำลังยุ่งกันมากเรื่องรับตายายเดือนสิบ

และผมเองก็ยุ่งมาหลายเรื่อง 

เช้านี้จึงขอน้อมคารวะระลึกท่านอาจารย์มาเป็นลำดับต้น

พร้อมกับขออภัยและเชื่อว่าท่านอาจารย์ได้อดโทษผมที่ไม่ได้ดังใจหมดแล้ว

ส่วนผมนั้นซึมซับเรียนรู้มากมายและเคารพนับถืออาจารย์เสมอมาขอรับผม

๑ ตุลา ๖๖ ๐๙๒๓ น.

บ้านบวรรัตน์ท่าวังเมืองนคร

 

Joomla templates by a4joomla
rtp slot https://www.sidiap.org/rtp-live-slot//