logo_new.jpg

เทศนาหน้าโกศอาลีย์ที่วัดโสมฯ
Dhamma for KhunyingWallee
(bunchar.com บัญชาชีวิต 20170422_3)

แม่ครับ เมื่อวานนี้ที่วัดโสม
พอพวกเราเข้าไปขณะที่พระกำลังเริ่มเทศน์
พี่ ๆ ก็มารับพร้อมกับอุทานเสียงดังว่า "น้าพามา..."
จากนั้นก็พาไปนั่งหน้า ร่วมกับน้า ๆ ทั้งหลาย
จะได้ทักทายกันเพราะนาน ๆ ได้พบกัน
น้าพาเอง ตอนไปเรียนราชินีบน
ก็อยู่ที่บ้านคุณตาหลวงเสนาฯ คุณยายเยี่ยมจิตต์
ที่ ปตอ.ซึ่งเป็น Savehouse ของจอมพบ ป.นั้น

พี่แต้วบอกว่าพี่ตั้นนิมนต์พระรูปนี้มาเทศน์
เพราะเป็น ดร.และจับใจดี
ท่านเทศน์ถึง ทาน-ศีล-สมาธิ-ภาวนา
เพื่อจัดการส่วนเกิน-กายวาจา-ใจ และ ปัญญา
แล้วยกเรื่องอนิมิต ๕ มาย้ำว่า 
๕ อย่างนี้ไม่มีเครื่องหมายมาบอกก่อน
ความตาย / โรค / เวลา / สถานที่ / ที่ไป
ให้ฝึกฝนไว้ให้พร้อมเสมอ 
เพราะห้ามไม่ได้ ผ่อนผันก็ไม่ได้
พร้อมบริการยิ่งกว่า 7-11
แถมเข้ามาหาเราอยู่ทุกขณะ

ระหว่างพัก น้า ๆ ก็คุยกับน้าพากันใหญ่
น้าอำพล พอได้จังหวะก็เข้ามาหา
กลับมาหาเพิ่ม เจอนี้ ของคุณ Prasopporn Pongsri อ่านง่ายดีครับ.

๒๒ เมย.๖๐

อนิมิต ๕
เมื่อวานว่าด้วย มรณานุสสติ
มีเรื่อง อนิมิต คือ การที่ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอก
เป็นเรื่องที่น่าสนใจ มี ๕ ประการ คือ

ชีวิตํ - ไม่มีเครื่องหมายบอกเราได้ว่า
ชีวิตจะอยู่ไปได้นานเท่าใด
บ้างยังไม่เกิด คนเขาก็ไปล้วงเอาออกมาให้ตาย
บ้างหนุ่มสาว บ้างเฒ่าชรา

พยาธิ - ไม่มีเครื่องหมายบอกเราได้ว่า
จะเจ็บป่วยด้วยโรคอะไร ถึงตาย
นาย ย.โย่ง แข็งแรงดี เป็นนักกีฬา ไปเล่น
เทนนิส หัวใจล้มเหลว กระทันหัน
ตัวอย่างอื่นๆ อีกมากมาย

กาเล - ไม่มีเครื่องหมายบอกเราได้ว่า
จะตายเมื่อไร หนุ่มสาว อย่าเข้าใจว่า
รอจนแก่แล้วค่อยตาย อาจเกิดจากโรคปัจจุบัน
อุบัติเหตุ อุบัติภัย มากมายหลายสาเหตุ

เทหนิกเขปนํ - ไม่มีเครื่องหมายบอกได้ว่า
จะไปตายตรงไหนดี บนเครื่องบิน ในรถ
โรงพยาบาล บ้านเพื่อน ไม่มีหรอกที่ว่า
ขอตายที่บ้าน จะไปรู้ได้อย่างไร

คติ - ไม่มีเครื่องหมายใดๆ บอกเราได้ว่า
หลังจากตายในภพชาตินี้แล้ว ไปไหนต่อ
นรก เปรต เดรัจฉาน คน เทวดา พรหม

เหล่านี้แหละที่พึงพิจารณา อนิมิตตะ
คือไม่มีนิมิต สัญญาณอะไรมาบอกเรา
ยกเว้นอาจได้ญาณขั้นวิเศษ รู้วันดับขันธ์

มีภาษิตกล่าว “คนคำณวน มิสู้ ฟ้าลิขิต”
สำหรับชาวพุทธแล้ว ภาษิตนี้ ใช้ไม่ได้
ไม่มี ฟ้าลิขิต มีแต่ “วิบาก” ส่งผลของ “กรรม”

อ้าว ... ถ้าเช่นนั้น จะงอมืองอเท้า
ให้มันเป็นไปตามวิบากกรรม อะไรนั่นหรือ?
ไม่เชื่อ... ฉันเชื่อว่า “วิบากฟ้า ไม่สู้ ข้าฯ ลิขิต”
โน่น... ออกแนวเพลง “เย้ยฟ้าท้าดิน” ไปเลย

แต่สำหรับ ผู้ที่ศึกษา พุทธธรรม โดยเฉพาะ
เรื่อง ปฏิจจสมุปปาท หรือหลัก อิทปฺปจฺจยตา
จะเข้าใจวลีที่ว่า “อดีตเหตุ – ปัจจุบันผล” และ
“ปัจจุบันเหตุ – อนาคตผล” ซึ่งจะอธิบายได้ดี

คือ “วิบาก” เป็นผลของทั้ง กุศล และอกุศล
ของการกระทำ ที่เราได้ทำไว้

(ตรงนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ศรัทธา เชื่อ พุทธศาสนา
ไม่เชื่อเรื่อง reincarnation การเวียนเกิด
ก็อาจเอาความรู้ไปเฉยๆ นะครับ ไม่ต้องแย้ง
เพราะนี่เป็นศรัทธา ความเชื่อของ “ชาวพุทธ”)

เมื่อทำกรรมดี แล้วกุศลวิบากตอบสนอง เช่น
ทำทานไว้มาก เกิดมาใหม่ร่ำรวย หรือ
ฆ่าสัตว์ไว้มาก เกิดมาเป็นหมู วัว ควาย
ให้เขาเชือด ให้เขาทารุณหลายภพชาติ
ตามจำนวนสัตว์ ที่เขาผูกเวรไว้ ก็แล้วแต่

อันนี้แหละครับ “อดีตเหตุ – ปัจจุบันผล”

ครั้นเมื่อได้ เกิดในภพใหม่
มาเสวยผลวิบาก ของ กรรมเก่าแล้ว
เช่น รวยแล้ว แล้วหยุดการทำดีต่อไป
แต่ไปเที่ยวข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่า

หรือเดิมฆ่าสัตว์ มาเป็นสัตว์ให้คนอื่นฆ่า
เห็นเพื่อนถูกฆ่า เกิดปลงสังเวช นึกขึ้นมา
ไม่อยากจองเวร ต่อกันไปอีกแล้ว
ท่านว่า “แม้เพียงช่วงเวลาเท่าช้างกระดิกหู”
ก็เป็นกุศลจิต ส่งผลให้ไปเกิดในที่ดีได้

อันนี้ ก็เป็น “ปัจจุบันเหตุ – อนาคตผล”

มิใช่เรื่องต้อง รอใครลิขิต ก็ลิขิตเองนั่นแหละครับ
ส่วนจะ “ลิขิต” ได้ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
ก็เป็นเรื่อง พิจารณา ส่วนตัว ไม่มีใครก้าวล่วง

ขอจบด้วยบาลี ...
อตฺตนาว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนาว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโส ธเย

บาปที่ทำด้วยตนเองแล้ว ย่อมเศร้าหมองเอง
บาปที่ตนมิได้ทำแล้ว ตนเองย่อมบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะตน
ใครก็ทำให้บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ แก่ตน ไม่ได้

ขอความเจริญในพุทธธรรม จงประสบแก่ทุกท่าน
เขียนโดย Prasopporn Pongsri ที่ 12:39

 

Joomla templates by a4joomla
rtp slot https://www.sidiap.org/rtp-live-slot//