การพระศาสนา

ได้เมตตามาปาฐกถาเปิดงานเมื่อเช้าวันที่ ๒๔
ที่ผมพอจับความและขอนำมาถ่ายทอดอย่างนี้ว่า

...เราคือผู้ร่วมสาน ๓ ปณิธานของท่าน
...ถึงเวลากลับมาพบปะแลกเปลี่ยนเพื่อไปกันต่อ
...ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในโอวาทปาฏิโมกข์
...เพื่อปรับให้เหมาะต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงมาก ยิ่ง ๆ ขึ้น

ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสทำทั้งหลาย
ประมาณการปฏิวัติที่เหนือกว่านักปฏิวัติทั่วไป
และยิ่งเสียกว่านักค้นพบใด ๆ 
ท่านเป็นผู้ขยายความ ปรับใหม่ ประดิษฐ์เสริม
- interpretator, applicator and innovator
เพื่อการเข้าถึงและนำพระสูตรของพระพุทธองค์
ไปใช้ได้ในเชิงยุทธศาสตร์ ประมาณสตีฟ จ๊อบ

อาทิเรื่องจิตว่าง 
อาทิธรรมะ ๔ ความหมาย
รวมทั้งภาษาธรรมภาษาคน ฯ
ที่ท่านเพียง rediscover แล้วมานำเสนอใหม่
แบบที่ใคร ๆ ก็รับได้ โดยเฉพาะ เถรวาท-ไทย

การนำพระธรรมและความหมายมาปรุงประกอบเช่นนี้ 
จึงยิ่งกว่าการค้นพบประดิษฐกรรมใด
แต่เป็นการน้อมนำพุทธรรมกลับมาถึงก้นบึ้งแห่งบ้าน 
- beyond inventing, bring back to the Buddhism Back Door

ท่านทุ่มเทรับใช้พระพุทธองค์
ตรงตามพระไตรปิฎกจนสุดชีวิต ต่อสู้ทั้ง ๒ ที่สุด
ท่านผสาน ธรรมะ สู่ ทันสมัย - Dhamma & Modernity
สอดคล้องกับที่ไอนสไตน์กล่าวไว้ว่า
วิทยาศาสตร์หากขาดธรรมก็งั้น ๆ 
ธรรมะหากขาดวิทยาศาสตร์ก็เหมือนยักษ์ตาบอด

จบแล้วท่านต้องรีบไปต่ออีกกิจสำคัญ
ผมจึงตามไปกราบขอบพระคุณและส่งท่าน
พร้อมกับกราบเรียนว่า
"หารือกันว่า น่าจะจัดอะไรในทำนองนี้
เป็นระยะ ประมาณ ๓ - ๔ ปี ครั้ง"

"เอาเลย แล้วจะให้ มจร.มาร่วมด้วย"

๒๙ พค.๖๐