เพื่อแผ่นดินเกิด

ตกลงกันว่าน่าจะที่วัดสุทัศน์ ด้วยหลายเหตุ อาทิ

๑) เป็นวัดใจกลางพระนคร ที่ ร.๑ ทรงเริ่มไว้แม้จะเสร็จ ร.๓ แต่ความหมายให้เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักรสยามใหม่-หมายจักรวาลนั้นอยู่ที่นี่ นอกจากพระวิหารพระศากยมุนีที่แวดล้อมด้วยวงชั้นเขาจักรวาล หน้าบันก็บ่งบอกเรื่องเทพารักษ์อย่างอินเดีย แถมเครื่องศิลาจีนอีกมากมาย ให้เขาได้เห็นเป็นประจักษ์ - หลายท่านบอกว่านี่วัดพุทธหรือ ? นึกว่าเทวาลัยฮินดู ทำไมใครไม่พามาที่อย่างนี้ ? สงบ งดงาม และเต็มไปด้วยแรงบันดาลมากมาย ฯลฯ

๒) แถมยังมีเสาชิงช้าด้านหน้า กับโบสถ์พราหมณ์อยู่ใกล้ ๆ เอาไว้โล้ทดสอบผืนพสุธา อันนี้ ๒ ดร.จากอินเดียบอกว่า เรื่องอย่างนี้ไม่เคยรู้ว่ามีที่อินเดีย ? เอาละซิเรา !!!

๓) ที่เสาวิหารที่มีภาพฝาผนังมากมายนั้น ได้แต่บอกคร่าว ๆ ไม่เอานิยายอะไร แต่ที่เสาแรกด้านขวามือ เห็นเป็นรูปเรือเดินทะเล เข้าเรื่องที่จะประชุมกันพอดี แถมนายเฮ้ารู้เรื่อง บอกเลยว่าทั้ง ๔ ด้าน บอกถึง ๔ มหาสมุทรที่รายรอบจักรวาลนี้ ดูดี ๆ เห็นเป็นเรือจีน อินเดีย ฝรั่ง แล้วก็เรือไทยอยู่คนละด้านพอดี !!!

๔) ที่ตั้งใจให้ดูที่สุด คือแผ่นหินสลักขนาดใหญ่เป็นรูป ๒ มหาปาฏิหารย์ของพระพุทธองค์ กล่าวกันว่าย้ายมาจากนครปฐม เป็นศิลปสมัยทวารวดี ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ตอนบนเป็นปางเสด็จสวรรค์โปรดพุทธมารดา ตอนล่างเป็น ยมกปาฏิหาริย์ ที่มีคนถือบัวรองพระบาท แสดงว่าน่าจะเป็นมหายาน มิใช่เถรวาทเสียด้วย !!!

จากนั้นได้พาเดินรอบนอก และตามวิหารคด
เขาบอกว่าวัดไทยทำไมถึงสงบงามอย่างนี้
ไม่เหมือนที่เมืองจีนและอินเดีย และวัดอื่นที่ทัวร์ชอบพาไป

พอดีมีเวลา ก็เลยพาออกไปดูสัตตมหาสถานด้านนอก แถมพระอุโบสถที่ว่ายาวที่สุดในพระนครก็เปิดอยู่ จึงได้เข้าไปดูด้วย

ตุ๊กตาจีนแต่เป็นฝรั่งนั้น เขาว่าช่างทำใหม่
ผมบอกว่าไม่ใช่ ทำเมื่อรัชกาลที่ ๓ เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อนโน้น สั่งทำมาจากเมืองจีน ใส่สำเภาเป็นเครืองอัปเฉามา นี้คือร่องรอยความเป็นเมืองท่าข้ามทวีปของไทยที่กรุงเทพ ซึ่งอาจจะสานต่อมาแต่ครั้งอู่ทองโน้น ตามลำดับและยุคสมัย โดยตอนเที่ยงเราพาไปกินริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ร้านของราชนาวีสโมสร ให้เขาได้เห็นเป็นประจักษ์ของการเป็นเมืองท่าข้ามทวีปแท้ ๆ ของบ้านเราที่ไล่ขึ้นไปได้ถึงอยุธยา

คนไทยใครไม่เคยไป กรุณาแวะไปกันได้นะครับ.

๑๙ มีค.๖๐