logo_new.jpg

ลูกปัดพิศวงในพิพิธภัณฑ์วัดกลางเมืองมูดอน ที่หมอคนนั้นทำถวายไว้กับพระพุทธศาสนา แต่บ่นว่า ผู้คนไม่ค่อยสนใจเลย ในขณะที่ลูกปัดก็หลายแบบและสมัยอย่างน่าเห็นใจ สงสัยใคร ๆ ก็รุมเอามาขายคล้ายกับหมออีกคนที่เมืองไทย ...ที่น่าเห็นใจพอกัน ด้วยเวลาจำกัด ผมได้รับมอบหมายให้ดูลูกปัด นอกน้ันก็เลือกดูที่ตนถนัดและสนใจ เฉพาะลูกปัดนั้นหลายแบบและสมัย สันนิษฐานว่าน่าจะมีคนนำมาเสนอขายมากมายจนสุดท้ายคุณหมอก็เลิกเพราะบอกผมว่า "มีคนเอามามากและบางอย่างรู้ได้ว่าไม่เก่าจนหมดความเชื่อถือและเลิกเลย" ลองดูกันเอาเองนะครับ อ.เอียนกับแอนนาก็หาดูสำริด ดร.บริจิตต์ก็หมกมุ่นอยู่กับหม้อมะตะบัน ผมพอแว่บไปดูวัด ชอบพระนอนที่วัดนี้ ท่านนอนเท่ดี อีกชุดคือภาพประดับ เขาบอกว่าชาดกอะไรไม่รู้ ใครพออ่านออกและรู้อยู่กรุณาบอกด้วยครับ

 

 
รูปที่1
 
รูปที่2
 
รูปที่3
 
รูปที่4
 
รูปที่5
 
รูปที่6
 
รูปที่7
 
รูปที่8
 
รูปที่10
 
รูปที่11
 
รูปที่12
 
รูปที่13
 
รูปที่14
 
รูปที่15
 
รูปที่16
 
รูปที่17
 
รูปที่18
 
รูปที่19
 
รูปที่20
 
รูปที่21
 
รูปที่22
 
รูปที่23
 
รูปที่24
 
รูปที่25
 
รูปที่26
 
รูปที่27
 
รูปที่28
 
รูปที่29
 
รูปที่30
 
รูปที่31
 
รูปที่32
 
รูปที่33
 
รูปที่34
 
รูปที่35
 
รูปที่36
 
รูปที่37
 
รูปที่38
 
รูปที่39
 
รูปที่40
 
รูปที่41
 
รูปที่42
 
รูปที่43

สีละ พุทธศาตรา New Normal ข้อสรุปเสนอของสุทธิัชัย หยุ่นจากการสัมภาษณ์ผู้ว่าแบงค์ชาติ แล้วได้อ่านบทนำหนังสือ "ความงดงามแห่งความเป็นมนุษย์" ที่หอฯ พิมพ์รับปีใหม่ที่ผ่านมา และท่านผู้ว่ากรุณาเขียนบทนำให้ ร่วมกับเอ็ดดี้และอีกท่านหนึ่งที่แปล "Buddha Brain" และท่านผู้ว่ากรุณาส่งมาเมื่อเช้านี้ว่า "ขอบคุณคุณสุทธิชัย ที่ช่วยโฆษณาหนังสือ "ความงดงามแห่งความเป็นมนุษย์" ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส จัดพิมพ์ขึ้นครับ" ใครยังไม่ได้อ่าน เชิญได้ที่ หอฯ นะครับ

 

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยเรื่องราวการเงินการทอง เศรษฐกิจไทยและโลก รวมไปถึงความท้าทายของการมาดำรงตำแหน่ง ในขณะที่ความผันผวนแปรปรวนกลายเป็นเรื่องปกติ

ผมถามถึงเรื่อง “New Normal” ของอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ที่มาอยู่ที่ 3.5% สำหรับปีใหม่นี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยสูงถึง 6-7% แล้วจะมีโอกาสกลับไปที่ “Old Normal” แบบเดิมได้อีกไหม? ท่านบอกว่า “Normal” หรือภาวะปกติที่ไทยควรจะมีน่าจะอยู่ที่อัตราโตที่ 4-5% ผมคิดไม่ถึงว่าคำว่า “New Normal” จะมาปรากฏใน “คำปรารภ” ของ ดร.วิรไทย ในหนังสือที่ท่านมอบให้ภายใต้ชื่อ “ความงดงามแห่งความเป็นมนุษย์” ของพุทธทาสภิกขุ โดยหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เป็นการรวบรวมเทศนาของท่านอาจารย์พุทธทาสชุดนี้มาเผยแพร่เป็นครั้งแรก ดร.วิรไท เขียนว่าช่วงนี้เราได้ยินคนพูดถึง “ภาวะปกติใหม่” หรือ “New Normal” ของประเทศไทยอยู่บ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนภาวะปกติใหม่ที่พูดถึงกัน จะมีมาตรฐานลดต่ำลงจากอดีตในหลายมิติ ไม่ว่าในเรื่องเศรษฐกิจที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ลดลง เพราะติดกับดักเชิงโครงสร้างเรื่องคอร์รัปชันที่ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนหลายกลุ่มเห็นว่าผู้มีอำนาจโกงกินบ้างก็ไม่เป็นไรถ้ามีผลงาน ท่านเขียนต่อว่าจริยธรรมของคนในหลายวงการตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ ไปถึงวงการตำรวจหรือเรื่องปัญหาสังคมที่คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่า การชนะการแข่งขันเพื่อความก้าวหน้าของตนเองครอบครัวและพวกพ้องสำคัญกว่าทุกสิ่ง และทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะโดยไม่คำนึงถึงหลักความถูกต้อง และผลที่จะเกิดขึ้นต่อคนรอบข้างหรือสังคมโดยรวม “หลายคนมองว่าภาวะปกติใหม่ที่มีมาตรฐานลดต่ำลงนี้ เป็นกระแสสังคมที่ทัดทานได้ยาก แม้ว่าจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นจึงควรยอมรับภาวะเช่นนี้ ปรับตัวให้คุ้นเคยและใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างไม่เป็นทุกข์” ดร.วิรไทบอกว่าคิดอย่างนี้ “ไม่ปกติแน่” “แต่ในความเป็นจริง ถ้าคนส่วนใหญ่ยอมรับภาวะปกติใหม่ที่มีมาตรฐานลดต่ำลงแล้ว ไม่มีทางที่สังคมไทยจะเข้าสู่ภาวะปกติได้เลย เพราะมาตรฐานด้านต่าง ๆ มีแต่จะไหลลงเรื่อย ๆ คุณภาพของสังคมจะเสื่อมลงแบบไม่มีดุลยภาพใหม่ ปัญหาต่าง ๆ ที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้จะรุนแรงขึ้นแบบทวีคูณ คนที่เราเห็นว่าประสบความสำเร็จในชีวิต (แม้ว่าจะชนะการแข่งขันมาหลายเวที) ก็ยากที่จะไม่เป็นทุกข์” และท่านก็บอกว่าหนังสือรวมเทศนาของท่านอาจารย์พุทธทาสชุด “ความงดงามแห่งความเป็นมนุษย์” เล่มนี้ได้รวบรวมคำสอนของท่านอาจารย์เกี่ยวกับ “สีละ” หรือ “ภาวะปกติ” ที่พึงประสงค์ อันหมายถึง “ภาวะปกติ” ที่ไม่วุ่นวาย ไม่มีปัญหาและไม่มีทุกข์ รวมทั้งยังได้รวบรวมหลักคำสอนที่อธิบายถึง “ศีลธรรม” หรือเหตุที่จะนำไปสู่ภาวะปกตินั้นด้วย “ท่านอาจารย์พุทธทาสชี้ให้เห็นว่า สังคมจะเข้าสู่ภาวะปกติที่พึงประสงค์ได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมมีหลักในการปฏิบัติต่อร่างกายและจิตใจของตนเอง และของคนอื่นอย่างถูกต้อง ที่สำคัญหลักเหล่านี้ต้องไม่เป็นเพียงแค่องค์ความรู้หรือปรัชญา แต่ต้องเป็น “พุทธศาสตรา” ที่เป็นแก่นธรรมของการดำเนินชีวิต ใช้กำกับควบคุมร่างกายและจิตใจของตนเองได้อย่างแท้จริง ภาวะปกติที่พึงประสงค์จึงจะเกิดขึ้นได้ในสังคม...” เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนำเอาหลักแห่ง “ภาวะปกติ” ของท่านพุทธทาสมาอธิบาย New Normal ทั้งทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวันของคนไทยได้ เราก็ย่อมจะเห็นมิติธรรมะในเศรษฐกิจได้อย่างน่าสนใจยิ่ง ติดตามการสัมภาษณ์พิเศษ ดร.วิรไทใน “ไทม์ไลน์ สุทธิชัย หยุ่น” ทาง Nation TV 22.30 น. วันเสาร์และอาทิตย์นี้ จะได้รับความกระจ่างถึง“ภาวะปกติใหม่”นี้อีกระดับหนึ่งทีเดียวครับ - See more at: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/636917#sthash.QUDWDQ18.dpuf

ใครรู้ไหม นี่อะไร ? ม้ามาถึงเอเซียอาคเนย์เราเมื่อไหร่ ? ไก่ด้วย ? กุณฑีอีกอย่าง ? รู้ไหม แรกมาถึงแถบบ้านเรานี้ที่ไหนและเมื่อไหร่ แล้วก็ รูปนี้อะไร ? นี้คือคำถามที่ อ.เอียน ตั้งตลอดทาง

 

 
รูปที่1
 
รูปที่2
 
รูปที่3
 
รูปที่4
 
รูปที่5
 
รูปที่6
 
รูปที่7

บางลูกปัดที่ได้เห็น ที่ดงลูกปัดเมืองมะละแหม่ง ไม่ทราบว่าที่เข้าไปเมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง ? ตอนนี้ถึงทวายอย่างสะบักสะบอม โดยผมเริ่มท้องเสียเป็นคนสุดท้ายเมื่อคืนนี้แล้วเรี่ยราดมาตลอดทางถึงตอนนี้ก็ขออยู่โรงแรมไม่ออกไปกินอะไรกับคณะ แวะซื้อมาม่ากะโจ๊กถ้วยมากินกับยาที่เพิ่งหาซื้อได้ตะกี้นี้ ส่วนลูกปัดนั้นกินได้แต่น่าจะไม่หาย ขอส่งมาให้ดูเล่น ๆ กันพลาง ๆ นะครับ เท่าที่ได้เห็น น่าจะเป็นแหล่งผลิตและค้าลูกปัดขนาดใหญ่มาก ๆ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน ไม่ไกลจากปากแม่น้ำมากนัก ห่างจากตัวเมืองเล็กน้อย พื้นที่มีลูกปัดทั้งหมดกว้างประมาณ ๙๐ เอเคอร์ (ไม่รู้กี่ไร่) เคยควบคุมไว้ได้ ต่อมาเกิดการขุดหาค้าขายกันขนานใหญ่จนแม้ทุกวันนี้โดยเฉพาะในหน้าฝน ว่ากันว่าขุดกันแทบทุกบ้านเป็นพันคน ตอนเย็นก็มีคนมาเวียนหาซื้อเอาไปขายต่อ วันที่ไปถึงเป็นหน้าแล้ง เริ่มด้วยการเข้าไปคารวะผู้ใหญ่บ้าน เอาหนังสือปฐมบทให้ไว้เล่มหนึ่ง บอกว่ามาขอศึกษา เขาให้คนนำไป ๓ จุด จุดแรกเป็นบ้านที่ขุดค้างไว้หน้าบ้าน ไม่พบเจ้าของบ้าน ผมลงไปในหลุมเจอคาร์เนเลียนติดอยู่ที่ผนังหลุมเม็ดหนึ่ง นอกนั้นก็เป็เศษกระเบื้องดินเผาท้องถิ่น อิฐลายนิ้วมือ ลูกปัดที่เหลือค้างอยู่ส่วนใหญ่เป็นแก้วอินโดแปซิฟิค มีร่องรอยชี้ว่าน่าจะเป็นแหล่งหลอมผลิต เช่นกันกับคาร์เนเลียนที่เป็นลูกโกลนก็พบบ้างแม้ไม่มาก หลุมขุดลึกมาก หากถล่มน่าจะจมมิดรวมทั้งบ้านก็น่าจะพังได้ด้วย ลานร่อนล้างก็อยู่ใต้ถุน มีเศษกระเบื้องและขึ้โคลนค้างอยู่มากมาย ที่บ้านสอง เขาตามชาวบ้านให้เอาของที่มีมาให้ดู มี ๓ ชวด ขวดหนึ่งเป็นเศษหินและแก้ว อีกขวดเป็นลูกปัดอินโดฯ ปนเศษ ขวดที่ ๓ ปนน้อยกว่า ดูแล้วไม่เห็นพิเศษอะไร ดูสีและผิวแล้วชวนนึกถึงที่แหล่งท่าชนะมากที่สุด บ้านหลังสามสนุกที่สุด เพราะมีของมากและหลากหลาย เริ่มจากหินเขียว คาร์เนเลียน โกเมน อาเกต แล้วก็รูปสัตว์สารพัด ลูกปัดอินโดแปวิฟิคมีแต่ที่เกาะติดกัน แปลกตากับแก้วตัดเหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยเห็นที่ไหนมาก่อน กลุ่มลูกปัดแก้วหลายสีที่นี่คล้ายที่ไชยามาก ๆ โดยเฉพาะเม็ดจิ๋วทั้งหลาย แต่ที่หงายหลังจัง ๆ ก็ที่อยู่ในถุงดำ คุ้ยไปมาเจอแม้กระทั้งไก่แก้วใหม่หมาด ๆ โดยสรุป จากที่ได้เห็น ๑) ดงลูกปัดที่นี่ ใหญ่มาก ๆ และน่าจะเป็นล่ำเป็นสันกว่าที่ไหน ๆ ๒) ของที่เห็นปนกันมากแล้ว น่าจะมีมาจากหลายที่ หลายยุคสมัย รวมทั้งที่ทำใหม่หมาด ๓) ปริศนาสำคัญเท่าที่ประเมินเบื้องต้น คือ ๓.๑ โกเมนทั้งหลายนั้น คล้ายกับที่เขาสามแก้ว ภูเขาทอง ท่าชนะ อาจจะสมัยแรกเริ่ม ๓.๒ ลูกปัดอินโดแปซิฟิค หากคล้ายที่ท่าชนะจริง ก็เข้าข่ายกลุ่มกลาง ๆ ๓.๓ ลูกปัดแก้วหลายสีอย่างไชยานั้น น่าจะเป็นกลุ่มสมัยหลัง ร่วมศรีวิชัยที่บ้านเรา นอกนั้นก็กลุ่มใหม่หมาดล่าสุด ไม่ทราบว่าที่เข้าไปในเมืองไทยทุกวันี้เป็นอย่างเดียวกันนี้ไหม ?

 

 
รูปที่1
 
รูปที่2
 
รูปที่3
 
รูปที่4
 
รูปที่5
 
รูปที่6
 
รูปที่7
 
รูปที่8
 
รูปที่9
 
รูปที่10
 
รูปที่11
 
รูปที่12
 
รูปที่13
 
รูปที่14
 
รูปที่15
 
รูปที่16
 
รูปที่17
 
รูปที่18
 
รูปที่19
 
รูปที่20
 
รูปที่21
 
รูปที่22
 
รูปที่23
 
รูปที่24
 
รูปที่25
 
รูปที่26
 
รูปที่27
 
รูปที่28

สามวิหารแสนงามเมื่อวานซืนนี้ ที่หลายคนน่าจะพลาด กับหอภาพยอดพระธาตุที่ชวนนึกถึงที่เมืองนคร ไม่ทราบว่าที่ท่านทั้งหลายได้ผ่านไปนมัสการมหาเจดีย์ชเวดากองจะอย่างไรกันบ้าง สำหรับผมนั้น หนึ่งหาแผนที่ติดมือไป รอบนี้มี ๒ เล่ม ของ Lonely planet และ Eyewitness ที่ชี้บอกจุดสำคัญควรดูพอซื้อบัตรผ่านยังได้อีกแผ่นหนึ่งที่บอกทั้งหมดอย่างละเอียด ตามที่บอก หนนี้มีเวลาน้อย ผมเลือกแวะเพียง ๓ วิหารที่จดจำ หนึ่งคือ หอพระใหญ่หลวงพ่อ Chanthagyi Buddha ที่มาทุกครั้งจับใจทุกคราว ยิ่งวันนี้มีแสงอย่างที่เห็น ที่ฉลุประดับแม้มิใช่ไม้แต่เป็นแผ่นโลหะสังกะสีก็ดูดี แถมมีธงฉัพพรรณรังสีด้วยแล้ว งามนัก สองคือ หลวงพ่อ Chin Issa Gawnas ที่มีพระนั่งพระยืนเต็มไปหมด ชอบผ้าปกเศียรพระ กับบรรยากาศการมาไหว้พระขอพรของผู้คนที่นี่ สงบสำรวมสัปปายะยิ่ง สามคือ หลวงพ่อ Pyidawdyan ที่ได้กลับคืนมาจากอังกฤษ แม้จะถูกใส่กรองแข็งแรงกลัวท่านหนีหายอีกรอบ แต่สภาพการจัดวางก็พอทนได้ สุดท้ายที่หลังลานดาวที่ใคร ๆ ก็ชอบไปนั่งภาวนาอธิษฐานนั้น ด้านหลังมีหอนิทรรศการภาพที่หาดูได้ยาก หากกลางวันจะเปิดให้เข้าชม คืนวานซืนนี้ มี ๒ ภาพด้านหน้า ขยายให้เห็นลูกแก้วบนยอดสุดที่ไม่เหมือนพระธาตุเมืองนคร แถมมีหางหงส์ ของที่นี่เป็นทองคำประดับเพชรพลอยอลังการ ไม่เห็นขึ้นสนิม แถมเขามีระบบดูแลรักษาบูรณะปฏิสังขรณ์อย่างดียิ่ง วันหน้าจะนำมาขยายความนะครับ

 

 

 
รูปที่1
 
รูปที่2
 
รูปที่3
 
รูปที่4
 
รูปที่5
 
รูปที่6
 
รูปที่7
 
รูปที่8
 
รูปที่9
 
รูปที่10
 
รูปที่11
 
รูปที่12
 
รูปที่19
 
รูปที่20
 
รูปที่21
 
รูปที่22
 
รูปที่23
 
รูปที่24
 
รูปที่25
 
รูปที่26
 
รูปที่27
 
รูปที่28
 
รูปที่29
Joomla templates by a4joomla
rtp slot https://www.sidiap.org/rtp-live-slot//