บัญชาชีวิต
- Details
- Written by Super User
- Category: คุยกับหมอบัญชา
- Published: 21 May 2017
- Hits: 1337
เมืองนครของเรามีความสุขเป็นที่เท่าไหร่ของประเทศไทยแล้ว ?
How Happy ? NaKorn Citizen
(bunchar.com เพื่อแผ่นดินเกิด 20170520_6)
ถูกทวงบทความลงนครดอนพระใน นสพ.รักบ้านเกิด พอดีเห็นนี้แว๊บ ๆ ก็เลยเขียนนี้ดีกว่า กำลังเครียดกันนักในสารพัดเรื่อง แม้กระทั่ง "ศาลาโกหก"
ก็ไม่ทราบว่ามีการทำโดยใครและเมื่อไหร่บ้าง พอดีได้เห็นรายงานนี้ ที่ทำไว้เมื่อปี ๒๕๕๖ โดยศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัย เรื่อง “ผลการจัดอันดับจังหวัดแห่งความสุขของประเทศไทย” พบว่า จังหวัดที่ประชาชนอยู่แล้วมีความสุขมากที่สุดอันดับหนึ่งได้แก่ แม่ฮ่องสอน ส่วนกรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่อยู่ในอันดับสุดท้าย ขณะที่จังหวัดนครศรีธรรมราชของเราอยู่ในอันดับที่ ๗๒ จากทั้งหมด ๗๗ จังหวัด
สำหรับผลสำรวจดังกล่าว ได้ใช้กลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ ๑๘ ปีขึ้นไปใน ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น ๑๒,๔๒๙ ตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ ๑-๑๙ มี.ค.๒๕๕๖ ผลการจัดอันดับค่าร้อยละของประชาชนที่อยู่อาศัยในแต่ละจังหวัด พบว่า จังหวัดที่ประชาชนอยู่แล้วมีความสุขมากที่สุด ๑๐ อันดับแรกเป็นจังหวัดขนาดเล็กและห่างไกล อันดับหนึ่งได้แก่ แม่ฮ่องสอน ได้ร้อยละ ๖๐.๙ อันดับสองได้แก่ พังงา ได้ร้อยละ ๖๐.๗ อันดับสามได้แก่ ชัยภูมิ ได้ร้อยละ ๖๐.๐ อันดับสี่ได้แก่ ปราจีนบุรี ได้ร้อยละ ๕๗.๐ อันดับห้าได้แก่ อุทัยธานี ได้ร้อยละ ๕๖.๖ อันดับหกมีสองจังหวัดได้แก่ จันทบุรีและสุโขทัย ได้ร้อยละ ๕๖.๓ อันดับเจ็ดมีสองจังหวัดได้แก่ พะเยาและแพร่ ได้ร้อยละ ๕๕.๖ อันดับแปดได้แก่ น่าน ได้ร้อยละ ๕๔.๘ อันดับเก้าได้แก่ หนองคาย ได้ร้อยละ ๕๔.๓ และอันดับสิบได้แก่ ลำปาง ได้ร้อยละ ๕๓.๙ โดยปัจจัยที่ทำให้ อยู่แล้วเป็นสุขมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นหลัก วิถีชีวิตชาวบ้านเป็นเมืองที่สงบ เป็นสังคมขนาดเล็ก มีความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวและชุมชน ผู้คนมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูง คดีอาชญากรรมต่ำ มีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่น มีความเป็นเมืองและลักษณะวัตถุนิยมระดับน้อยถึงปานกลาง และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ คนในพื้นที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ประชาชน
ส่วนจังหวัดที่อยู่ใน ๑๐ อันดับสุดท้ายส่วนใหญ่เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ ได้ชื่อว่ามีการพัฒนาสูง ยกเว้นหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง คืออันดับที่ ๗๗ ของประเทศคือ กรุงเทพมหานคร ได้เพียงร้อยละ ๒๐.๘ อันดับที่ ๗ ได้แก่ สมุทรปราการ ได้ร้อยละ ๒๒.๐ และอันดับที่ ๗๕ ได้แก่ ภูเก็ต ได้ร้อยละ ๒๔.๒ อันดับที่ ๗๔ ได้แก่ ลพบุรี อันดับที่ ๗๓ ได้แก่ นราธิวาส อันดับที่ ๗๒ ได้แก่ นครศรีธรรมราช อันดับที่ ๗๑ ได้แก่ สิงห์บุรี อันดับที่ ๗๐ ได้แก่ ระยอง อันดับที่ ๖๙ ได้แก่ ยะลา และอันดับที่ ๖๘ ได้แก่ สงขลา
จากการสำรวจนี้ ประชาชนจากกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปี ๒๕๕๖ มีความสุขเมื่อเปรียบเทียบกับ ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศไทย อยู่อันดับรั้งที่ ๖ จากท้ายของทั้งประเทศ โดยใน ๑๐ จังหวัดสุดท้ายนั้นอยู่ในภาคใต้ถึง ๕ จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต นราธิวาส นครศรีธรรมราช ยะลา และ สงขลา
เมื่อเรียงลำดับใน ๑๔ จังหวัดภาคใต้ นครศรีธรรมราชอยู่อันดับที่ ๑๒ จาก ๑๔ จังหวัด เรียงลำดับดังนี้ พังงา (๒) ระนอง (๒๕) สตูล (๓๒) สุราษฎร์ธานี (๓๔) กระบี่ (๓๗) ชุมพร (๔๕) ปัตตานี (๔๙) พัทลุง (๕๓) ตรัง (๖๑) สงขลา (๖๘) ยะลา (๖๙) นครศรีธรรมราช (๗๒) นราธิวาส (๗๓) และ ภูเก็ต (๗๕)
หากเลือกในกลุ่ม ๙ จังหวัดที่มีชื่อว่า “นคร” นครศรีธรรมราชก็อยู่รั้งท้าย อันดับที่ ๘ ก่อนกรุงเทพมหานครเพียงจังหวัดเดียว ดังนี้ นครราชสีมา (๓๓) นครนายก (๓๕) นครสวรรค์ (๔๐) สกลนคร (๔๓) นครพนม (๕๒) พระนครศรีอยุธยา (๕๗) นครปฐม (๖๐) นครศรีธรรมราช (๗๒) กรุงเทพมหานคร (๗๗)
ครั้นลองเปรียบเทียบกับจังหวัดที่ประชากรมากที่สุด ๑๑ จังหวัดแรกที่เกินหนึ่งล้านห้าแสนคน นครศรีธรรมราชก็อยู่รั้งท้ายในลำดับที่ ๑๐ ก่อนหน้ากรุงเทพมหานครเพียงจังหวัดเดียว ดังนี้ บุรีรัมย์ (๓๑) นครราชสีมา (๓๓) อุดรธานี (๓๙) ขอนแก่น (๔๗) ชลบุรี (๔๘) เชียงใหม่ (๕๑) อุบลราชธานี (๕๕) ศรีสะเกษ (๕๙) สงขลา (๖๘) นครศรีธรรมราช (๗๒) และ กรุงเทพมหานคร ๗๗
ท้ายสุด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงสุด ๒๐ จังหวัดแรกโดยไม่รวมกรุงเทพมหานคร มี ระยอง (๗๐) ชลบุรี (๔๘) สมุทรปราการ (๗๖) พระนครศรีอยุธยา (๕๙) สมุทรสาคร (๖๖) ปทุมธานี (๖๒) ฉะเชิงเทรา (๒๖) นครปฐม (๖๐) นนทบุรี (๕๘) นครราชสีมา (๓๓) สงขลา (๖๘) เชียงใหม่ (๕๑) ปราจีนบุรี (๔) สระบุรี (๒๗) สุราษฎร์ธานี (๓๔) ขอนแก่น (๔๗) ราชบุรี (๒๓) ภูเก็ต (๗๕) นครศรีธรรมราช (๗๒) จันทบุรี (๖) พบว่าจังหวัดนครศรีธรรมราชที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมอยู่ในอันดับที่ ๑๙ ใน ๒๐ ประชาชนตอบผลการสำรวจว่ามีความสุขอยู่ในอันดับที่ ๑๘ เหนือกว่าจังหวัดภูเก็ตและสมุทรปราการเพียงสองจังหวัดเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป เมื่อ ๔ ปีที่แล้ว ประชาชนที่อยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชตอบผลการสำรวจถึงการอยู่ในจังหวัดแล้วมีความสุขอยู่ใน ๓ อันดับท้ายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม คือ ใน ๑๔ จังหวัดภาคใต้ ใน ๙ จังหวัดที่มีชื่อว่า “นคร” ใน ๑๑ จังหวัดที่มีประชากรมากที่สุด และ ใน ๒๐ จังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงสุด ในขณะที่ภาพรวมอยู่ในอันดับที่ ๖ จากท้ายของ ๗๗ จังหวัดทั่วทั้งประเทศ เหนือจากเพียง ๖ จังหวัดเท่านั้น มีเพียง ๕ จังหวัดเท่านั้นที่ประชาชนบอกว่าสุขน้อยกว่านครศรีธรรมราช คือ นราธิวาส ลพบุรี ภูเก็ต สมุทรปราการ และ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่ในรายงานนี้ใช้ในการวัดประเมิน มีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นหลัก วิถีชีวิตชาวบ้าน เป็นเมืองที่สงบ เป็นสังคมขนาดเล็ก มีความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวและชุมชน ผู้คนมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูง คดีอาชญากรรมต่ำ มีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่น มีความเป็นเมืองและลักษณะวัตถุนิยมระดับน้อยถึงปานกลาง และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ คนในพื้นที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ประชาชน ก็อาจจะเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นปัจจัยหลักและรองของการรั้งท้ายที่ถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าขยับขึ้นมาหรือหลุดลุ่ยลงไปเป็นอันดับที่เท่าไหร่แล้ว
ไหน ๆ ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพระ พอดีผมเพิ่งทบทวนหนังสือเล่มนี้ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต) เมตตาเลือกมาให้พวกเราที่สวนโมกข์กรุงเทพพิมพ์เผยแผ่เมื่อปีเดียวกันกับที่ทำการสำรวจ คือ พ.ศ.๒๕๕๖ แล้วกำหนดชื่อให้ด้วยว่า “ความสุขอยู่ที่นี่ มันไปหากันที่ไหน” ที่ “ว่าด้วย-บุญ-และ-การปฏิบัติธรรม-ที่สามารถนำมาปฏิบัติ ใช้ดำเนินชีวิต ก่อเกิดประโยชน์และความสุขที่แท้” เพื่อบอกว่าที่เขาสำรวจนั้นก็อาจจะไม่จริงและถูกถ้วนทั้งหมด เพราะเป็นการถามความเห็นของคนเพียงหนึ่งหมื่นกว่าคน ประมาณน่าจะจังหวัดละร้อยกว่าคนเท่านั้น ในขณะที่เมืองนครเรานี้มีประชากรตั้งหนึ่งล้านห้าแสนกว่าคนแล้ว
ลองอ่านบทนำนี้ที่พวกเราเชิญมานะครับ “บุญ...ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด และ ทำให้เกิดภาวะหน้าบูชา...ควรที่จะทำกันให้มาก เพราะการทำบุญเป็นความสุขที่มีผลระยะยาว ไม่เหมือนอาหารที่รับประทานหรือสิ่งภายนอกที่บำรุงบำเรอกาย พอผ่านไปแล้วก็หมด ก็หาย ความสุขก็สิ้นไป บางทีพอนึกใหม่กลายเป็นทุกข์เพราะมันไม่มีเสียแล้ว มันขาดไป ต้องหาใหม่ แต่บุญเป็นสุขที่เข้าไปถึงเนื้อตัวของจิตใจ เป็นความสุขที่เต็มอิ่ม ทำให้เกิดปีติในบุญ และเมื่อเราทำไปแล้วมันก็ไม่หมด นึกถึงเมื่อไรก็ใจเอิบอิ่มผ่องใสเรื่อยไป เป็นความสุขที่ยั่งยืนยาวนาน...บุญที่แท้แผ่ความสุขออกไป ให้ความงอกงามทั้งแก่ชีวิตของเราและทั่วสังคม” โดย “บุญ” มี ทาน ศีล ภาวนาเป็นหลักอย่างเดียวกับ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือการฝึกฝนและพัฒนากายวาจา จิตใจและปัญญาในไตรสิกขาที่เน้นต่างกันที่ภายนอกและภายใน เหมาะแก่คฤหัสถ์หรือบรรพชิต กล่าวคือ ชุด ทาน ศีล ภาวนา นั้นขยายภายนอกด้านหยาบเป็นทานกับศีล แล้วเอาภายในคือสมาธิกับปัญญายุบรวมกันเป็นภาวนาสำหรับคฤหัสถ์ ในขณะที่ชุดศีล สมาธิ ปัญญา แยกภายในคือภาวนาเป็นสมาธิและปัญญา แล้วรวมทานและศีลเข้าด้วยกันในศีล เช่นเดียวกับเรื่อง ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ.
แล้วหาอ่านมาทบทวนเพื่อกำหนดหมุดหมายความสุขของตัวเองกันดูนะครับ ของคนอื่น ๆ หรือที่ไหน ๆ นั้น มากเหตุและปัจจัย ใครทำให้กันไม่ได้มากดอกครับ.
๒๐ พค.๖๐