logo_new.jpg

รายงานการไปทวาย ฉบับที่ ๓ (ตอนที่ ๒ เฉพาะที่บันทึกไว้)
สาวกแสนงานที่เมืองเก่าโมกติ
สวนโมกข์ในพม่า ที่ทวาย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รายงานการไปทวาย ฉบับที่ ๓ (ตอนที่ ๑)
สาวกแสนงานที่เมืองเก่าโมกติ
สวนโมกข์ในพม่า ที่ทวาย

ที่นี่ ไปมา ๓ รอบ ก็ "เจริญใจ" ทุกที กรุณาอ่านรายละเอียดในบันทึกที่ทำไว้เมื่อครั้งก่อน มีหมายเหตุใหม่อีกไม่กี่ข้อ

 

ภาพที่แนบนี้ ๔ ภาพแรกเป็นภาพนำ
๕) เป็นถนนทางไปจากเมืองทวาย ไม่ไกลมาก
๖ - ๗) เป็นรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณที่ย้ายมาสร้างหอไว้ริมทาง
๘ - ๑๑) พระประธานและองค์อื่น ๆ ในวิหารชินโมกติ
๑๒ - ๑๖) ภาพลายทองและช่องประดับกระจก ประดิษฐานพระพุทธรูป ชั้นบนสุดของผนัง
๑๗ - ๒๑) งานประดับกระจกที่ผนังด้านใน
๒๒ - ๒๖) พื้นกระเบื้องจากยุโรปรุ่นแรก ๆ รูปดอก sweet pea กับอื่น ๆ ที่มีรอบถึงขั้นบันไดด้านนอก
๒๗ - ๓๔) การประดับตกแต่งด้วย "กระจกเกรียบ" ที่เสา ผนังด้านนอก รวมทั้ง "ธรรมจักร-ปฏิจจสมุปบาท" ที่แต่ละเสา
๓๕ - ๔๐) ภาพโดยรวมของ "ชิน โมกติ พยา"

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ได้ทองคำสุวรรณภูมิ
เมื่อไปตามรอยไทยและรอยธรรมที่ทวาย
รายงานการไปทวาย ฉบับที่ ๑

ผมขอส่งบันทึกเล่ามาด้วยบันทึกเดิมที่ทำไว้ดีมากเมื่อครั้งไปหนแรก มค.๕๘ แล้วปรับแก้และใส่หมายเหตุ รวมทั้งเพิ่มเติมบางอย่าง จกนี้ไปนะครับ มีทั้งหมด ๙ ตอนครับผม

การไปรอบใหม่ล่าสุดเป็นหนที่ ๓ นี้ เราออกจากอู่ทองตั้งแต่ตี ๕ ครึ่ง ถึงบ้านด่านน้ำพุร้อนราว ๆ ๗ โมงครึ่ง ตะวันกำลังจ้าพอดี หลังเข้าห้องน้ำ รับประทานอาหารเช้าแล้ว ที่ด่านใช้เวลาทำใบผ่านแดนตั้งแต่ ๐๘๓๐ น.กว่าจะครบคนทั้ง ๓๖ ชีวิต ก็ ๐๙.๓๐ น. เดินข้ามแดนไปรอรถ ๓ คันจากทวายที่ออกมาจากโน่นตั้งแต่ตี ๓ แล้วติดด่านเพิ่งข้ามมารับได้ก็พอดี โดยกลางแดนที่เป็น No Man Land นั้น เราผ่าน ๕ ด่าน เริ่มจากตรวจคนเข้าเมืองไทย ทหารไทย ทหารพม่า หน่วยควบคุมการผ่านแดนกะเหรี่ยง แล้วก็ตรวจคนเข้าเมืองพม่าที่ "คีตี้" ซึ่งเป็นย่านตลาดและชุมชนใหญ่ เจดีย์บนยอดเขายังไม่เห็นเสร็จ จากนั้นก็ผ่านถนนดินเต็มไปด้วยฝุ่น ท่ามกลางภูเขาโล้นเลี่ยนเตียนหมด มีไฟไหม้คุเป็นระยะๆ จนถึงสะพานหนึ่งที่ไฟคุจนคอสะพานเป็นหลุม จนคันกลางตกไปติดต้องลงมาเข็นและเดิมข้ามสะพาน ในขณะที่รถคันของเราหม้อแบตเตอรี่ไหม้จนละลายอยู่ใต้ก้นผม จนต้องลุ้นกันตลอดทางไม่ให้เครื่องดับ จนเกือบถึงตัวเมืองทวายได้เปลี่ยนรถอีกคัน

ขากลับที่เราตั้งใจจะลงไปท้องน้ำตะนาวศรีเพื่อดูการขุดร่อนหาทอง พอพ้นด่านกะเหรียงมาเลียบแม่น้ำตะนาวศรี ได้ลงไปจุดหนึ่ง กลายเป็นแคมป์คนงานขุดวางท่อร้อยสาย ไม่เจอ "เหมืองทองแบบรางล้าง" พบแต่ที่ร่อนด้วยเลียงเอามาตากไว้รอเลือกทองพร้อมกับเลียงไม้ ก็เลยเอามาสาธิตวิธีร่อนเท่าที่เคยเห็นและเคยร่อนเองที่ริมแม่น้ำโขงและคลองโต๊ะโมะ จากนั้นจึงได้เห็น "รางล้าง" อยู่อีกฝั่งคลอง ไม่สามารถข้ามไปได้ น้องสาวชาวไทยคนหนึ่งบอกว่าตอนนี้มีทองน้อยมาก เธอเองเป็นพม่า เกิดและเรียนเมืองไทย แต่ไม่มีอนาคตก็เลยกลับมาอยู่พม่า ขายน้ำท่าอยู่ในแคมป์ริมทางอยู่อย่างนี้

 

รายงานฉบับหน้าจะเห็นเหมืองทองที่บันทึกไว้เมื่อคราวแรกแบบเต็ม ๆ นะครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

.

 

 

 

 

 

 

คลองทองที่ถูกถม
บนทางที่ไทย (และพม่า) กำลังทำ

การไปรอบที่ ๓ นี้ที่นำคณะไปด้วยถึง ๓๖ คน ที่มีทั้งพระ คณะสื่อ รวมทั้งชาว อพท.ทำให้เป็นการไปที่ไม่สบาย ๆ ยังไงก็ได้ ตอนแรกเราประสานผู้ประกอบการในไทยให้ช่วยประสานในอัตราที่แพงกว่าที่ทำเองได้ แล้วเมื่อไปกับ อ.เอียน เพื่อทดสอบด้วยก็พบว่าบริการไม่น่าจะลงตัว จึงหาทางใหม่แบบ ทำเอาเอง จองที่พักเอง หาคนจัดรถและคนช่วยนำทางรวมทั้งผ่านแดนให้ ได้ ๒ หนุ่มพม่าที่เคยทำงานเมืองไทย และกำลังสร้างตัว ด้วยการร่วมกับคนฝรั่งเศสอีกคน ตั้งบริษัทนำเที่ยวชื่อ Titan มีลูกค้าหลักเป็นคนยุโรป พามาเที่ยวทะเลดำน้ำดูปะการังที่คาบสมุทรทวาย ไม่เคยพาคณะเที่ยววัด ประวัติศาสตร์ รวมทั้งไม่เคยดูแลคนไทย ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่บอกว่า พยายามเรียนรู้ เพื่อนำไปปรับปรุงต่อไป กำลังขอจดทะเบียนอนุญาตจากรัฐบาลพม่า เป็นบริษัทพม่าด้วย ส่วนจะทำได้แค่ไหน ก็ช่วยกันต่อไป ใครสนใจติดต่อได้นะครับ เท่าที่เห็น ๓ วันนี้ เขาตั้งใจจริงและปรับปรุงได้ดีเป็นลำดับ โดยบอกว่าพวกเราเป็นคณะแรกที่ "สนใจเนื้อหาสาระอย่างยิ่ง จริงจัง และ upper class รู้ภาษาอังกฤษดี" โดยพวกเราก็พบว่าคุยกับเอาภาษาอังกฤษดีกว่าภาษาไทยมาก ๆ ครับ

 

ทั้งนี้ก่อนจากกันที่ชายแดน ท่านเมธีได้เมตตาให้พรแก่คระพวกเขาด้วยครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

"ธรรมเธียร" หรือ "ทำเทียม" ที่อู่ทอง
ก่อนออกจากอู่ทองไปทวายที่ "ธรรม" น่าจะยัง "เธียร"

เมื่อเย็นวันที่ ๙ พวกเราพาคณะพระในเครือข่ายการเรียนรู้สู่ธรรมวาทีและสื่อมวลชนไปขึ้นเขาที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า "ทำเทียม" ซึ่งไม่รู้ที่มาว่า "ทำ" "เทียม" อะไร ทั้ง "ทำ" หรือ "ธรรม" ทั้ง "สูง-เทียม" หรือว่า "ของ-เทียม" แต่มีคนบอกว่าในนิราศของสุนทรภู่เคยเรียกและเขียนไว้ว่า "ธรรม-เธียร" ซึ่งเป็นมงคลกว่ามาก ๆ ยิ่งวันนี้ที่พวกเราไปกัน เห็นอาการ "พระเจอที่สงบวิเวกสัปปายะ" เหมือน "เสือถึงป่า" ประมาณนั้น

ที่เขานี้ เป็นขาเกือกม้าด้านใต้-ตะวันตกสุดของเทือกเขาที่โอบล้อมเมืองอู่ทอง ตามที่ อ.ศรีศักร และ อ.ภูธร เห็นสอดคล้องกันว่า "นี่คือแดนภาวนาสำคัญของพระเมืองอู่ทอง" เมื่อสมัยโบราณนับพันปี ในลักษณะเดียวกับที่เขาคิฌชกูฏและอชันตาในอินเดีย ดังจะเป็นได้จากร่องรอยของเพิงผาที่ถูกแปลงมาเป็นถ้ำพระในสมัยอยุธยาต่อเนื่องรัตนโกสินทร์ รวมทั้ง "สิมอีสาน" ที่ยังเห็นใบเสมาอยู่รอบ รวมทั้งสถูปเจดีย์ที่มีการบูรณะใหม่หมาด และองค์พระปฏิมาปางเปิดโลกที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่

วันนั้น พวกเราอาราธนาท่านเมธี นำพวกเราสวดมนต์ทำวัตรแปลที่ฐานองค์พระบนหน้าเพิงผาแห่งเขา "ธรรมเธียร" แล้วเจริญจิตตภาวนาสมาธิท่ามกลางสายลมที่พัดพริ้ว ก่อนที่จะกลับลงมาเพื่อผ่านฐานธรรมจักรแห่งอู่ทองที่โบราณสถานหมายเลข ๑๑ ซึ่งพบสมบูรณ์ที่สุดหนึ่งเดียวพร้อมเสาครบชุดแบบยังสร้างไม่เสร็จ ซึ่งชี้ว่าคนที่นี่คือคนสร้างทำค้างอยู่ ดังที่จัดแสดงให้เห็นอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง

ส่วน "ธรรม" จะ "เธียร" สักเพียงไรนั้น ยังบอกได้ไม่ง่ายนัก ขนาด "อู่ทอง" ที่เคยรุ่งอย่างที่เห็น ยังร้างและโรยราอย่างที่เห็น

แต่ที่ "ทำ" จน "(เท่า)เทียม" นั้น กำลังจะมาแน่แล้ว ดังที่เห็นพระใหญ่ที่หน้าผาที่อยู่ลึกเลยเข้าไป ที่ถึงทุกวันนี้ "พระเศียร" กำลังจะแล้วเสร็จพร้อมรอยร้าวที่ฉีดอัด "Epoxy" ขนานใหญ่ จากนั้นจะเจาะทำถ้ำตลอดแนวระนาบพื้น แถมพระนอนองค์โต กับอีกหลายสิ่งที่ผมเองนั้นอยากเห็นเป็น "ธรรมเธียร" ที่ไม่แพ้แก่กัน

 

ดังที่มณฑปพระพุทธบาทเขาดีสลัก ที่มีหินสลักภาพพระพุทธประวัติแกะใหม่มาประกอบไว้อย่างงดงามตามสมควร (๒ ภาพสุดท้าย)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Joomla templates by a4joomla
rtp slot https://www.sidiap.org/rtp-live-slot//