- Details
- Written by Super User
- Category: คุยกับหมอบัญชา
- Hits: 1335
วันนี้ที่ไทยพีบีเอส
เริ่มงานการเตรียมส่งเสด็จฯ สู่สวรรค์
TPBS and the Father's Farewell
(bunchar.com เพื่อแผ่นดินเกิด 20170713_2)
วันนี้ที่พวกเราหลายฝ่าย ได้ร่วมกับไทยพีบีเอส จัดงานนี้ขึ้น
โดยจะมีต่อเนื่องทุกวันพฤหัส กระทั่งการออกพระเมรุเดือนตุลา
บ่ายวันนี้เมื่อ ๙ เดือนก่อน คงจะจำกันได้นะครับ
ขอเชิญไปร่วมกันสานต่อ
"แสงจากพ่อ...สู่ความยั่งยืนยาวนาน
แห่ง ธรรมราชา ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญตลอดมา"
กันนะครับ
๑๓ กค.๖๐
- Details
- Written by Super User
- Category: คุยกับหมอบัญชา
- Hits: 1240
ค่อยรอดูที่สื่อรายงานกันนะครับ
Follow the TV Report
(bunchar.com เพื่อแผ่นดินเกิด 20170611_2)
ก่อนออกจากห้วยหยวกเมื่อวันนั้น
ผมกลับมาที่ศูนย์เด็กเล็กอีกครั้ง
ทีวีที่ไปด้วยหลายรายการ
กำลังทำสารคดีของหนู ๆ กับคุณครูที่น่านับถือ
ณ ขณะนี้ อาจจะประมาณว่ามีพี่น้องมละบรีอยู่ ๔ รุ่น
หนึ่ง อายุ ๔๐ ขึ้น ที่อยู่ป่ามานานเนิ่น เพิ่งต้องเข้ามาอยู่บ้าน
สอง อายุราว ๆ ๒-๓๐ ที่เกิดกันในป่า แล้วเข้ามาอยู่บ้านนานพอ ๆ กัน
สาม อายุราว ๑-๒๐ ที่เกิดบ้าน แต่ยังไม่ขาดป่า
สี่ ที่เกิดใหม่และน่าจะกลายเป็นชาวบ้านในที่สุด
ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามีการประสานจัดการดูแลแก่ลูกหลานของพี่น้องมละบรีอย่างไรบ้าง
วันนี้ได้เรียนถามท่าน อ.หมอเกษม ว่าควรจะอย่างไร ? ได้ข้อคิดมาไม่น้อย แล้วจะค่อย ๆ ครับ
๑๑ มิย.๖๐
- Details
- Written by Super User
- Category: คุยกับหมอบัญชา
- Hits: 1835
ปูชนียอภิวาท...รัตนธัชมุนี - ใครช่วยหาภาพแผ่นป้ายสัจจศาลาให้ด้วย
Highly Homage the RatanaThathMuni
(bunchar.com เพื่อแผ่นดินเกิด 20170531_8)
หลังประชุมเรื่องศาลาหน้าเมืองวันนี้
ผมเลือกไปกราบสักการะพระพุทธสิหิงค์ในหอพระ
แล้วหยิบหนังสือเล่มนี้ที่เพิ่งเจอเมื่อเช้ามาอ่านซ้ำ
เป็นหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพท่านเจ้าคุณม่วง เมื่อวันที่ ๒๐ มิย.๒๔๗๘ ณ เมรุสนามหน้าเมือง ว่าด้วยรายงานการจัดการศึกษา การพระศาสนา และกวีนิพนธ์ ซึ่งมีบทเพลงบอก เรื่องศาลาโกหก หรือ สัจจศาลา สำนวนพระวิเศษอักษรสารท่องจำไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จากต้นฉบับที่เจ้าคุณแต่งมอบให้ลูกเสือนำโดยขุนชำนาญคดี
เอาไปร้องในคราวชุมนุมลูกเสือแห่งชาติที่กรุงเทพเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ เพื่อเป็นการคัดค้านฯ
ผมได้ยกตอนต้น ๆ มาเล่าแล้ว ๒ ช่วง นี้คือตอนสุดท้ายที่อยากให้อ่านมาก ๆ ครับ
"ชนต่างด้าวชาวต่างเมือง ไม่รู้เรื่องประถมถิ่น
พูดเล่นลิ้นปลายฝีปาก จึงถลากถลำ
เรียกว่าศาลาโกหก ซึ่งแกล้งยกเอาความระยำ
ตัดถ้อยคำที่เป็นจริง เปลี่ยนออกทิ้งไป
หามีศาลาโกหกไม่ เป็นคำใกล้ โด กับ โก
เมื่อใครโผล่ขึ้นสักคำ ชวนกันซ้ำใหญ่
ถ้า โดหก คือ โกหก อย่างที่นึก จะจารึกไว้ทำไม
เพราะผู้ใหญ่ปกครองถิ่น ใช่ว่ากินทราย
ไม่อาจสร้างซึ่งหลักฐาน ตั้งสำนักงานที่พูดปด
ย่อมเสียยศผู้ครองถิ่น ไม่รู้สิ้นหาย
บุคคลที่ไม่รู้อะไร พูดได้พูดไปตามสบาย
เหมือนแกล้งขยายกองกิเลส ให้ต่างประเทศฟัง
ในสมัยแห่งพระองค์ กรมดำรงสถิตย์ที่
เสนาบดีทราบกิจจะ ตามกิระดัง
ท่านไม่ชอบพระหฤทัย ตามวิสัยที่ด่วนฟัง
เพราะทรงหวังบำรุงประเทศ ไปทุกเขตรคาม
โดยคำ โกหก ลามกมาก แบ่งเป็นภาคของความชั่ว
ไม่ให้กลั้วติดถิ่น ในแผ่นดินสยาม
จึงทรงโปรดเกล้ากรุณา ให้เรียกศาลา สัจจนาม
สมกับความศรีวิไล มีอยู่ในแดน
ทำใหม่หลังคาจารึกหมาย เป็นแผ่นป้ายขึ้นมั่นคง
เพื่อดำรงอยู่ยืนนาน ด้วยกระดานแผ่น
ให้เรียกสัจจศาสา ต่างภาราไม่ดูแคลน
ตรึงป้ายแผ่นถาวรา ติดหลังคาอยู่
ชาวนครศรีธรรมราช เคารพบาทเชื้อพระวงศ์
เพื่อดำรงชนหมู่มาก ทนกระดากหู
หวังเย็นเกล้าทั้งหญิงชาย เหมือนต้องสายสินธู
เป็นเครื่องชูชีพให้ชื่น อยู่ทุกคืนวัน ฯ
ถึงตอนนี้ รบกวนใครช่วยหาภาพที่มีแผ่นป้าย
"สัจจศาลา" ให้ด้วยได้ไหมครับ ?
อีกประการ ท่านเจ้าคุณรูปนี้
คือพระศิริธรรมมุนีที่ ร.๕ ทรงเลื่อมใส นับเป็นสหชาติ ตั้งเป็นผู้อำนวยการศึกษา เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชและปัตตานี
ต่อมาเป็นพระเทพกวี, พระธรรมโกศาจารย์
และ พระรัตนธัชมุนี ในที่สุด
นามของท่านเป็นที่มาของสีประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ "ม่วง" ที่พ่วงไปอยู่คู่กับ "แสด" ในสีแห่งวลัยลักษณ์ด้วยครับผม.
๓๑ พค.๖๐
- Details
- Written by Super User
- Category: คุยกับหมอบัญชา
- Hits: 1472
ถุงเถากะแป๊ดของมละบรี...ที่กำลังจะจดจีไอ
MlaBri GaPaed Vine GI Bag
(bunchar.com เพื่อแผ่นดินเกิด 20170610_1)
อีกของดีที่ได้เจอ ตอนไปบ้านมละบรีที่ห้วยหยวก
คือถุงย่ามที่ถักจาก "เถากะแป๊ด" ที่ขึ้นริมน้ำในหุบ
ถุงทำนองนี้ เคยพบและมีขายในตลาดมานานมาก
ในนามของ "ถุงข่า-ขมุ"
ผมขอสรุปเองว่าน่าจะเป็นถุงย่ามของชาติพันธุ์กลุ่มนี้ "ข่า-ขมุ-มละบรี ฯลฯ"
ที่ถือว่าดึกดำบรรพ์สุด ด้วยการถักเส้นใย ก่อนที่จะรู้จักทอผ้า
ที่ภูฟ้า มีภาพแสดงให้เห็นขั้นตอนตั้งแต่ตัดเถามาเป็นท่อน ๆ แล้วแยกใยบนเปลือกมาผึ่งแห้งแล้วต้มย้อมกับนานาสิ่งให้สีจากธรรมชาติ
ก่อนที่จะควั่นเป็นเส้นเชือกด้วยการม้วนพันบนหน้าแข้ง แล้วจึงถักด้วยมือกับไม้ถักอันน้อย ที่ไม่ได้ถามว่าเรียกอะไร
รวมทั้งชื่อถุงนี้ที่เขามีชื่อเรียก แต่ลืมจดและจำมา
ติ๊กที่ภูฟ้าบอกว่า ยื่นจดทะเบียน GI เรียบร้อยแล้ว
และกำลังจะส่งเสริมกันอย่างจริงจัง
ผมกับกระรอกและคุณสายจาก สนข.อิศรา
ได้มาคนละใบจากห้วยหยวก
ทั้ง ๆ ที่ อุ๊ยปา บอกว่า ถุงกะแป๊ดนี้ของผู้หญิง
คนชายใช้ปุ้ม ก็ตามเถิด
หากมีใครเข้าไปช่วยปรับและปรุงแบบ
ก็น่าจะช่วยพี่น้องมละบรีได้ไม่น้อย
ใครอยากได้ ลองไปถามที่ร้านภูฟ้าในสมเด็จพระเทพฯ ดูก็น่าจะมีครับ.
๑๑ มิย.๖๐
- Details
- Written by Super User
- Category: คุยกับหมอบัญชา
- Hits: 1345
เมืองนครของเรามีความสุขเป็นที่เท่าไหร่ของประเทศไทยแล้ว ?
How Happy ? NaKorn Citizen
(bunchar.com เพื่อแผ่นดินเกิด 20170520_6)
ถูกทวงบทความลงนครดอนพระใน นสพ.รักบ้านเกิด พอดีเห็นนี้แว๊บ ๆ ก็เลยเขียนนี้ดีกว่า กำลังเครียดกันนักในสารพัดเรื่อง แม้กระทั่ง "ศาลาโกหก"
ก็ไม่ทราบว่ามีการทำโดยใครและเมื่อไหร่บ้าง พอดีได้เห็นรายงานนี้ ที่ทำไว้เมื่อปี ๒๕๕๖ โดยศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัย เรื่อง “ผลการจัดอันดับจังหวัดแห่งความสุขของประเทศไทย” พบว่า จังหวัดที่ประชาชนอยู่แล้วมีความสุขมากที่สุดอันดับหนึ่งได้แก่ แม่ฮ่องสอน ส่วนกรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่อยู่ในอันดับสุดท้าย ขณะที่จังหวัดนครศรีธรรมราชของเราอยู่ในอันดับที่ ๗๒ จากทั้งหมด ๗๗ จังหวัด
สำหรับผลสำรวจดังกล่าว ได้ใช้กลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ ๑๘ ปีขึ้นไปใน ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น ๑๒,๔๒๙ ตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ ๑-๑๙ มี.ค.๒๕๕๖ ผลการจัดอันดับค่าร้อยละของประชาชนที่อยู่อาศัยในแต่ละจังหวัด พบว่า จังหวัดที่ประชาชนอยู่แล้วมีความสุขมากที่สุด ๑๐ อันดับแรกเป็นจังหวัดขนาดเล็กและห่างไกล อันดับหนึ่งได้แก่ แม่ฮ่องสอน ได้ร้อยละ ๖๐.๙ อันดับสองได้แก่ พังงา ได้ร้อยละ ๖๐.๗ อันดับสามได้แก่ ชัยภูมิ ได้ร้อยละ ๖๐.๐ อันดับสี่ได้แก่ ปราจีนบุรี ได้ร้อยละ ๕๗.๐ อันดับห้าได้แก่ อุทัยธานี ได้ร้อยละ ๕๖.๖ อันดับหกมีสองจังหวัดได้แก่ จันทบุรีและสุโขทัย ได้ร้อยละ ๕๖.๓ อันดับเจ็ดมีสองจังหวัดได้แก่ พะเยาและแพร่ ได้ร้อยละ ๕๕.๖ อันดับแปดได้แก่ น่าน ได้ร้อยละ ๕๔.๘ อันดับเก้าได้แก่ หนองคาย ได้ร้อยละ ๕๔.๓ และอันดับสิบได้แก่ ลำปาง ได้ร้อยละ ๕๓.๙ โดยปัจจัยที่ทำให้ อยู่แล้วเป็นสุขมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นหลัก วิถีชีวิตชาวบ้านเป็นเมืองที่สงบ เป็นสังคมขนาดเล็ก มีความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวและชุมชน ผู้คนมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูง คดีอาชญากรรมต่ำ มีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่น มีความเป็นเมืองและลักษณะวัตถุนิยมระดับน้อยถึงปานกลาง และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ คนในพื้นที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ประชาชน
ส่วนจังหวัดที่อยู่ใน ๑๐ อันดับสุดท้ายส่วนใหญ่เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ ได้ชื่อว่ามีการพัฒนาสูง ยกเว้นหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง คืออันดับที่ ๗๗ ของประเทศคือ กรุงเทพมหานคร ได้เพียงร้อยละ ๒๐.๘ อันดับที่ ๗ ได้แก่ สมุทรปราการ ได้ร้อยละ ๒๒.๐ และอันดับที่ ๗๕ ได้แก่ ภูเก็ต ได้ร้อยละ ๒๔.๒ อันดับที่ ๗๔ ได้แก่ ลพบุรี อันดับที่ ๗๓ ได้แก่ นราธิวาส อันดับที่ ๗๒ ได้แก่ นครศรีธรรมราช อันดับที่ ๗๑ ได้แก่ สิงห์บุรี อันดับที่ ๗๐ ได้แก่ ระยอง อันดับที่ ๖๙ ได้แก่ ยะลา และอันดับที่ ๖๘ ได้แก่ สงขลา
จากการสำรวจนี้ ประชาชนจากกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปี ๒๕๕๖ มีความสุขเมื่อเปรียบเทียบกับ ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศไทย อยู่อันดับรั้งที่ ๖ จากท้ายของทั้งประเทศ โดยใน ๑๐ จังหวัดสุดท้ายนั้นอยู่ในภาคใต้ถึง ๕ จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต นราธิวาส นครศรีธรรมราช ยะลา และ สงขลา
เมื่อเรียงลำดับใน ๑๔ จังหวัดภาคใต้ นครศรีธรรมราชอยู่อันดับที่ ๑๒ จาก ๑๔ จังหวัด เรียงลำดับดังนี้ พังงา (๒) ระนอง (๒๕) สตูล (๓๒) สุราษฎร์ธานี (๓๔) กระบี่ (๓๗) ชุมพร (๔๕) ปัตตานี (๔๙) พัทลุง (๕๓) ตรัง (๖๑) สงขลา (๖๘) ยะลา (๖๙) นครศรีธรรมราช (๗๒) นราธิวาส (๗๓) และ ภูเก็ต (๗๕)
หากเลือกในกลุ่ม ๙ จังหวัดที่มีชื่อว่า “นคร” นครศรีธรรมราชก็อยู่รั้งท้าย อันดับที่ ๘ ก่อนกรุงเทพมหานครเพียงจังหวัดเดียว ดังนี้ นครราชสีมา (๓๓) นครนายก (๓๕) นครสวรรค์ (๔๐) สกลนคร (๔๓) นครพนม (๕๒) พระนครศรีอยุธยา (๕๗) นครปฐม (๖๐) นครศรีธรรมราช (๗๒) กรุงเทพมหานคร (๗๗)
ครั้นลองเปรียบเทียบกับจังหวัดที่ประชากรมากที่สุด ๑๑ จังหวัดแรกที่เกินหนึ่งล้านห้าแสนคน นครศรีธรรมราชก็อยู่รั้งท้ายในลำดับที่ ๑๐ ก่อนหน้ากรุงเทพมหานครเพียงจังหวัดเดียว ดังนี้ บุรีรัมย์ (๓๑) นครราชสีมา (๓๓) อุดรธานี (๓๙) ขอนแก่น (๔๗) ชลบุรี (๔๘) เชียงใหม่ (๕๑) อุบลราชธานี (๕๕) ศรีสะเกษ (๕๙) สงขลา (๖๘) นครศรีธรรมราช (๗๒) และ กรุงเทพมหานคร ๗๗
ท้ายสุด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงสุด ๒๐ จังหวัดแรกโดยไม่รวมกรุงเทพมหานคร มี ระยอง (๗๐) ชลบุรี (๔๘) สมุทรปราการ (๗๖) พระนครศรีอยุธยา (๕๙) สมุทรสาคร (๖๖) ปทุมธานี (๖๒) ฉะเชิงเทรา (๒๖) นครปฐม (๖๐) นนทบุรี (๕๘) นครราชสีมา (๓๓) สงขลา (๖๘) เชียงใหม่ (๕๑) ปราจีนบุรี (๔) สระบุรี (๒๗) สุราษฎร์ธานี (๓๔) ขอนแก่น (๔๗) ราชบุรี (๒๓) ภูเก็ต (๗๕) นครศรีธรรมราช (๗๒) จันทบุรี (๖) พบว่าจังหวัดนครศรีธรรมราชที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมอยู่ในอันดับที่ ๑๙ ใน ๒๐ ประชาชนตอบผลการสำรวจว่ามีความสุขอยู่ในอันดับที่ ๑๘ เหนือกว่าจังหวัดภูเก็ตและสมุทรปราการเพียงสองจังหวัดเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป เมื่อ ๔ ปีที่แล้ว ประชาชนที่อยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชตอบผลการสำรวจถึงการอยู่ในจังหวัดแล้วมีความสุขอยู่ใน ๓ อันดับท้ายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม คือ ใน ๑๔ จังหวัดภาคใต้ ใน ๙ จังหวัดที่มีชื่อว่า “นคร” ใน ๑๑ จังหวัดที่มีประชากรมากที่สุด และ ใน ๒๐ จังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงสุด ในขณะที่ภาพรวมอยู่ในอันดับที่ ๖ จากท้ายของ ๗๗ จังหวัดทั่วทั้งประเทศ เหนือจากเพียง ๖ จังหวัดเท่านั้น มีเพียง ๕ จังหวัดเท่านั้นที่ประชาชนบอกว่าสุขน้อยกว่านครศรีธรรมราช คือ นราธิวาส ลพบุรี ภูเก็ต สมุทรปราการ และ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่ในรายงานนี้ใช้ในการวัดประเมิน มีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นหลัก วิถีชีวิตชาวบ้าน เป็นเมืองที่สงบ เป็นสังคมขนาดเล็ก มีความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวและชุมชน ผู้คนมีความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูง คดีอาชญากรรมต่ำ มีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่น มีความเป็นเมืองและลักษณะวัตถุนิยมระดับน้อยถึงปานกลาง และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ คนในพื้นที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ประชาชน ก็อาจจะเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นปัจจัยหลักและรองของการรั้งท้ายที่ถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าขยับขึ้นมาหรือหลุดลุ่ยลงไปเป็นอันดับที่เท่าไหร่แล้ว
ไหน ๆ ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพระ พอดีผมเพิ่งทบทวนหนังสือเล่มนี้ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต) เมตตาเลือกมาให้พวกเราที่สวนโมกข์กรุงเทพพิมพ์เผยแผ่เมื่อปีเดียวกันกับที่ทำการสำรวจ คือ พ.ศ.๒๕๕๖ แล้วกำหนดชื่อให้ด้วยว่า “ความสุขอยู่ที่นี่ มันไปหากันที่ไหน” ที่ “ว่าด้วย-บุญ-และ-การปฏิบัติธรรม-ที่สามารถนำมาปฏิบัติ ใช้ดำเนินชีวิต ก่อเกิดประโยชน์และความสุขที่แท้” เพื่อบอกว่าที่เขาสำรวจนั้นก็อาจจะไม่จริงและถูกถ้วนทั้งหมด เพราะเป็นการถามความเห็นของคนเพียงหนึ่งหมื่นกว่าคน ประมาณน่าจะจังหวัดละร้อยกว่าคนเท่านั้น ในขณะที่เมืองนครเรานี้มีประชากรตั้งหนึ่งล้านห้าแสนกว่าคนแล้ว
ลองอ่านบทนำนี้ที่พวกเราเชิญมานะครับ “บุญ...ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด และ ทำให้เกิดภาวะหน้าบูชา...ควรที่จะทำกันให้มาก เพราะการทำบุญเป็นความสุขที่มีผลระยะยาว ไม่เหมือนอาหารที่รับประทานหรือสิ่งภายนอกที่บำรุงบำเรอกาย พอผ่านไปแล้วก็หมด ก็หาย ความสุขก็สิ้นไป บางทีพอนึกใหม่กลายเป็นทุกข์เพราะมันไม่มีเสียแล้ว มันขาดไป ต้องหาใหม่ แต่บุญเป็นสุขที่เข้าไปถึงเนื้อตัวของจิตใจ เป็นความสุขที่เต็มอิ่ม ทำให้เกิดปีติในบุญ และเมื่อเราทำไปแล้วมันก็ไม่หมด นึกถึงเมื่อไรก็ใจเอิบอิ่มผ่องใสเรื่อยไป เป็นความสุขที่ยั่งยืนยาวนาน...บุญที่แท้แผ่ความสุขออกไป ให้ความงอกงามทั้งแก่ชีวิตของเราและทั่วสังคม” โดย “บุญ” มี ทาน ศีล ภาวนาเป็นหลักอย่างเดียวกับ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือการฝึกฝนและพัฒนากายวาจา จิตใจและปัญญาในไตรสิกขาที่เน้นต่างกันที่ภายนอกและภายใน เหมาะแก่คฤหัสถ์หรือบรรพชิต กล่าวคือ ชุด ทาน ศีล ภาวนา นั้นขยายภายนอกด้านหยาบเป็นทานกับศีล แล้วเอาภายในคือสมาธิกับปัญญายุบรวมกันเป็นภาวนาสำหรับคฤหัสถ์ ในขณะที่ชุดศีล สมาธิ ปัญญา แยกภายในคือภาวนาเป็นสมาธิและปัญญา แล้วรวมทานและศีลเข้าด้วยกันในศีล เช่นเดียวกับเรื่อง ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ.
แล้วหาอ่านมาทบทวนเพื่อกำหนดหมุดหมายความสุขของตัวเองกันดูนะครับ ของคนอื่น ๆ หรือที่ไหน ๆ นั้น มากเหตุและปัจจัย ใครทำให้กันไม่ได้มากดอกครับ.
๒๐ พค.๖๐